หุ้น ipo ปี 2012-2013 ภาคสอง

ครั้งนี้มาเจาะลึกให้มากขึ้นนะครับ

เหมือนเดิมคือ ผมไม่ได้มีส่วนได้เสียอะไรจากหุ้นเหล่านี้ และถ้าอ่านดีๆจะเห็นว่าผมเขียนข้อดีข้อเสียเอาไว้ครบถ้วน เพียงแต่ให้ข้อมูลนะครับ ไม่ได้เชียร์ซื้อเชียร์ขาย

 

Nok&aav

อุตสาหกรรมของ nok&aav เรียกว่า lcc หรือสายการบินต้นทุนต่ำซึ่งเป็นคนละตลาดกับการบินไทย ตลาดของการบินไทยเรียกว่าสายการบินดั้งเดิมหรือสายการบินเต็มรูปแบบ ซึ่งเป็นตลาดที่โตน้อย Bangkok airways ที่จะเข้าตลาดต่อไปก็เป็นสายการบินดั้งเดิมซึ่งเป็นคนละตลาดกับ lcc Bangkok airways เป็นธุรกิจของหมอ ประเสริฐ ประสาททองโอสถ เจ้าของ bgh ถ้าใครไปดูหนังที่พารากอน โรง 1-3 บางกอกแอร์เวย์เป็น sponsor ให้เมเจอร์โรง 4 พาวาลัย bgh เป็น sponsor ส่วนโรง 5 4dx ais เป็น sponsor เลิกนอกเรื่องกลับมาคุยธุรกิจต่อ lcc นั้นโตกว่าสายการบินดั้งเดิมเกือบ 3 เท่าในรอบ 5-6 ปีมานี้ เป็นเพราะว่าคนจะเดินทางไกลใช้รถไฟกับ lcc เสียเงินไม่ต่างกันมาก แต่เสียสุขภาพต่างกันมาก 6 ปีก่อนผมเคยนั่งรถไฟไปเชียงใหม่ ทรมานมาก นอนไม่หลับเพราะหลับไปแป๊ปเดียวรถไฟสะเทือนฉึกๆฉักๆ ก็ต้องตื่นแล้ว ห้องในรถไฟก็แคบมากๆจำได้ว่าขาไปนั่งรถไฟขากลับนั่งเครื่องบินและก็ไม่เคยนั่งรถไฟอีกเลย ไหนจะเรื่องเวลาที่ไม่ต้องมานั่งๆนอนๆเป็น 10 ชั่วโมงบนรถไฟ นั่งเครื่องเลยดีกว่า 50 นาทีถึงเพราะแบบนี้ธุรกิจ low cost ที่เติบโตสูง ธุรกิจ low cost นั้นเดินทางใกล้แม้ที่นั่งจะแคบก็ทนไม่นาน เมื่อเปิด aec ธุรกิจ lcc เป็นหนึ่งในธุรกิจที่จะได้ประโยชน์เยอะ ในปลายปีที่แล้ว aot ได้ให้ lcc ไปใช้สนาบบินดอกเมือง โดยมี discount incentive ให้ทำให้ nok&aav ได้ประโยชน์จากต้นทุนที่ลดลง แต่ส่วนลดนี้สิ้นสุดปี 2015 ถ้าอยากรู้ว่าบริษัทจะได้ประโบชน์มากน้อยแค่ไหนก็สามารถคำนวณโดยดูว่า landing เป็นกี่%ของ cost แล้วดูว่าปีนั้นๆ aot discount ให้เท่าไหร่ก็จะสามารถคำนวณต้นทุนที่ประหยัดได้(%ส่วนลดน้อยลงเรื่อย)นอกจากนี้สนามบินดอกเมืองยังเพิ่งใช้เพียงแค่ 1 terminal แต่มีอาคารโดยสารทั้งหมด 3 terminal จึงยังมี room อีกมากในแง่ของ utilization นั้น nok air ทำได้มากสุดคือมี cabin factor ระดับ 87-88% aav 80-82% การบินไทยต่ำกว่าสองสายการบินนี้ ในเรื่องของ air hostess นกชนะเลิศ เดินมาทีนึกว่านางงามไม่แปลกเลยที่พวกผู้ชายชอบนั่งนกแอร์

 

ความแตกต่างของ nok&aav คือ aav ต้นทุนถูกกว่า nok เพราะบริษัทแม่มีขนาดใหญ่ทำให้เกิด eos ได้มากกว่า (aav ถือ tta 55% aaiถือ 45%) แต่ถ้าดูจาก passenger yield nok air ทำได้สูงกว่า aav พอควร ในด้านการ growth ทั้งสองบริษัทมีแผนจะเพิ่มเครื่องบินจำนวนมากทั้งคู่แต่ดูจากสัดส่วนแล้ว nok air มีการเพิ่มของที่นั่งสูงกว่า จุดที่ควรระวังของ nok คือ เส้นทางการบินที่ nok จะเปิดเพิ่มจะเปิดในประเทศเพื่อนบ้านโดยเริ่มจากพม่าโดยส่วนตัวผมคิดว่า cabin factor ของ nok จะลดลงเพราะว่า nok air เป็น local brand ชาวต่างชาติคงไม่ใช่บริการมากนักและจริงๆแล้ว nok อยู่ในไทยมีความได้เปรียบคือ เส้นทางการบินรองและย่อยไม่ม่คู่แข่งเลย เช่น สกลนคร,เลย,พิษณูโลก,น่าน,แพร่,ร้อยเอ็ด เส้นทางพวกนี้ใครอยากไปก็ต้องนกแอร์เท่านั้น แต่เมื่อนกจะไป ประเทศเพื่อนบ้าน นกจะเสียเปรียบ aav เพราะ nok ต้นทุนสูงกว่า และ brand air asia เป็นที่รู้จักในภูมิภาคมากกว่า แถมการออกไปประเทศเพื่อนบินก็มีโอกาสต้องแข่งขันกับสายการบินดั้งเดิมด้วย นอกจากนี้ถ้าออกนอกประเทศไปถึง จีน เวียดนาม ที่ต้องนั่งเครื่องนานๆ คนก็จะรู้สึกทรมานมากขึ้นที่ต้องนั่งแคบๆเป็นเวลาหลายชั่วโมง ต่างจากบินในประเทศถึงจะแคบก็ทนนั่งแค่ 50 นาที ดังนั้นการ growth ของ nok ต่อจากนี้ไม่ง่ายแน่ๆ เครื่องบินลำใหม่ๆ utilization จะลดลงในด้านผลประกอบการณ์ aav ปีที่แล้วต้องหักรายการกำไรจากมูลค่ายุติธรรมของ 14676 ในปีที่แล้วออกเพื่อดู growth ที่แท้จริง ดูจากงบ 9 เดือนที่ออกมาปีนี้ aav น่าจะกำไรแถวๆ 1300-1350 ล้าน ส่วนของ nok air ในปี2555 นกแอร์มีค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุงเพื่อส่งเครื่องบินคืน 247mb ซึ่งเป็นค่าใช้จ่าย one time ทำให้ฐานกำไรปีที่แล้วต่ำเกินจริง นักลงทุนควร adjust รายการนี้ในการทำ forecast ด้วย

 

ทั้ง nok&aav มีความเสี่ยงเรื่องราคาน้ำมันทั้งคู่ aav มต้นทุนน้ำมันประมาณ 43-45% nok 33-38% ถ้าดู npm ของทั้งสองบริษัทต้องบอกว่าราคาน้ำมันขึ้นเยอะๆกระอักแน่ มีโบรกทำประมาณการไว้ว่าราคาน้ำมัน 184 เหรียญ aav จะขาดทุน ซึ่งราคาน้ำมันเป็นสิ่งที่ aav และ nok ควบคุมไม่ได้ เรื่องปันผลนั้นไม่ต้องหวังเลย aav ไม่มีปันผลส่วน nok ปันผลไม่ต่ำกว่า 25% ของกำไรใครหวังปันผลเยอะๆสามารถมองข้ามหุ้นกลุ่มนี้ไปได้เลย แม้ธุรกิจ lcc จะเติบโตสูงแต่ก็เป็นธุรกิจ red ocean สายการบินที่จะรุกไทยอย่าง เวียดเจ็ต,thai lion air ซึ่งก็คงสร้งการแข่งขันรุนแรงมากขึ้นในตลาด lcc ดังนั้น 2-3 ปีจากนี้เป็นไปได้ที่ nok&aav จะเริ่มเสียส่วนแบ่งตลาดหรือไม่ก็ต้องลดค่าตั๊วสู้

 

 

Ptg ธุรกิจคือปั้มน้ำมัน pt รูปแบบธุรกิจของ ptg แตกต่างจาก ptt,bcp,susco นลทในกรุงเทพส่วนใหญ่จะไม่คุ้นเคยกับ ptg มากนัก เพราะปั้มส่วนใหญ่เขาอยู่ตามต่างจังหวัดแนะเน้นลูกค้าพวกรถบรรทุกซึ่งต่างจากพวก ptt,bcp ในด้านตัวหุ้นเทียบธุรกิจกันไม่ได้คนละอย่างเลย เพราะ ptt เป็น holding ที่มีสัดส่วนกำไรส่วนใหญ่มาจาก pttep ซึ่งเป็นธุรกิจสำรวจและขุดเจาะ ส่วน bcp กำไรหลักๆมาจากโรงกลั่นไม่ใช่ปั้มน้ำมัน ส่วน susco นั้น แทบจะไม่เพิ่มสาขาเลย เน้นส่งออกน้ำมันไปประเทศเพื่อนบ้าน ทั้ง susco และ ptg ต่างซื้อน้ำมันจาด top มีนักลงทุนกังวลว่า ptg สั่งน้ำมันจาก top เจ้าเดียวเป็นความเสี่ยงที่สูง เรื่องนี้ทางผู้บริหารชี้แจงว่าจริงๆแล้วมีคนมาเสนอขายน้ำมันให้ ptg หลายเจ้าและ top ขายน้ำมันให้ ptg ก็ได้ราคาสูงกว่าส่งออก ผมคิดว่าประเด็นนี้ดูมีความเสี่ยงน้ำกว่าพวกหุ้นอิเล็กทรอนิกที่มีลูกค้าไม่กี่รายแล้วลูกค้าเลิกสั่ง แต่ก็คงจะแน่ใจไม่ได้ว่าบริษัทจะไม่มีผลกระทบเลยถ้า top ไม่ได้ขายให้ รายได้ของ ptg โตเร็วมากเพราะยอดขายปั้มเดิมเพิ่มขึ้นและมีการขยายปั้มเยอะ ptg จึงจัดเป็นหุ้นเติบโต ptg มีความสามารถในการบริหารจัดการที่ดีเพราะ ปั้มทั่วไปต้องขายน้ำมันเดือนละ 300000 ลิตรถึงจะ break even แต่ ptg ขายแค่ 170000 ก็มีกำไรแล้ว ptg นั้นมีแผนลดต้นทุนโดยการใช้ลด trailer แทนลดสิบล้อและการที่ pt มี แท้งเก็บน้ำมันเป็นของตัวเองทำให้ง่ายต่อาการบริหารจัดการดังนั้นปั้มหลายแห่งที่มีมีรถขนส่งและแท้งคงจะคุมต้นทุนได้ยากนี้คงเป็นเหตุผลที่ไม่ค่อยมีปั้มอื่นใช้กลยุทธ์แบบนี้นอกจากนี้บริษัทยังมี cash cycle ติดลบโดยหลายปีก่อนมี day inventory ถึง 17 วันและลดลงมาเหลือเพียง 6 วัน โดยบริษัทมีเป้าหมายว่าภายใน 5 ปีข้างหน้าจะมีจำนวนปั้มแซง บางจากแต่ธุรกิจนี้มี margin บางมาก npm เพียง1%เท่านั้น ถ้ามีข้อผิดพลาดอะไรเกิดขึ้นก็ขาดทุนได้ง่าย ธุรกิจที่ npm บางๆแบบนี้ทำให้ผมนึกถึง sis ที่หลายปีก่อนเพิ่ม npm ได้นิดเดียวกำไรก็กระโดดแต่พอมีอะไรผิดคาด sis ก็ถึงกับขาดทุนเลย ดังนั้นหุ้นที่ npm ต่ำมากๆนลทจะต้องมั่นใจในความสามารถของผู้บริหารมากว่าเก่งงในเรื่องการมองตลาด การควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่าย

 

ในงบไตรมาสสาม ptg มีรายได้โต yoy 10% แต่มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารโต 40% ทำให้หลายโบรกออกมาลดประมาณการกำไรในปีนี้และปีหน้ากัน จริงๆแล้วงบไตรมาสสามจะเป็น low season ของทุกปีอยู่แล้วจึงไม่น่ากังวลมาก แต่จุดที่ผมว่าเป็นประเด็นคือ ยอดขาย q3/13 หดตัว qoq เยอะไปหน่อยคือเกือบ 20% ถ้าเทียบกับq355,q255 แล้วดรอปเพียง 6% เท่านั้นและการที่ยอดขายเติบโตเพียง 10% yoy ทั้งๆที่สาขาแบบ coco ใน q3 55 มีเพียง 357 q356 มี 514 คือมากขึ้นเกือบ 44% สรุปแล้ว ptg เป็นหุ้นเติบโตผู้บริหารเก่งพอควรแต่อยู่ในอุตสาหกรรมที่กำไรบางมากใครทำก็ไม่ค่อยจะกำไร ptg จึงพยายามไปเจาะตลาดที่ไม่ค่อยมีรายอื่นสนใจ ซึ่งถือว่าทำได้ผลสำเร็จ และยังมี room ในการโตอีกมากคือการไปกินแชร์ปั้มน้ำมันอิสระที่มีอยู่กว่า 16000 แห่ง แต่ ptg เป็นหุ้นที่มี npm ต่ำมาก เพิ่งเข้ามา ipo ได้ไม่นานก็โดนหลายโบรกปรับลดประมาณการ ถ้าดูตัวเลขประมาณการของโบรกก่อน ptg เข้าตลาด คาดกำไรปีนี้ระดับ 630-680 ล้านแต่ตอนนี้โบรกออกมาปรับลดเป้ากำไรเหลือ 400 ล้านแล้ว หลังจากประกาสงบไตรมาสสามที่ต่ำคาด

 

 

Mc

Mc เป็นบริษัทขายกางเกงยีนญี่ห่อ mc มี market share อันดัน 1 ของไทยโดยมีแชร์ 38% รองลงมาคือ levis ซึ่งเมื่อ 10 ปีก่อน levis เคยมี market share เท่า mc ตอนนี้คือ 38% แต่ตอนนี้เหลือส่วนแบ่ง 27.5% mc เป็นหุ้นที่มี gross margin สูงถึง 58% มีเพื่อนนักลงทุนมาแชร์ว่า gpm ระดับนี้เป็นธรรมชาติของธุรกิจนี้ผมเลยลองไปหาข้อมูลเพิ่มพบว่าตอนปี 2010 mc เคยมี gpm 41%แล้วเพิ่มมาเป็น 48% ในปี 2011 และกลายเป็น 56-58% ในปีนี้ส่วนนึงเป็นเพราะการเพิ่มกำลังการผลิตจาก 71% มาเป็น 95% และมีการปรับปรุงสายการผลิตด้วย lean system และคนยังหันมานิยมกางเกงที่ใช้เนื้อผ้าน้อยลง เช่น ขาเดฟ แต่บริษัทขายสินค้าราคาเดิมทำให้กำไรดีขึ้น ถ้ากำลังผลิตยังอยู่ในระดับนี้ gpm ก็มีโอกาส maintain ได้ gpm 58% นั้นไม่ได้บ่งบอกว่า mc เป็นบริษัทที่เก่งเพราะ gpm zara,h&m เยอะกว่านี้ แต่ตัวเลขที่บอกว่า mc เก่งคือ ebitda margin ที่33% ตัวเลขนี้บ่งบอกได้ว่าบริษัทควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีจนมี ebitda margin สูงกว่า zara,h&m สาเหตุที่ไม่ใช่ npm เป็นตัวบอกคุณภาพเพราะ mc มี boi และเสียภาษีไม่เท่าเจ้าอื่นจึงใช้ ebitda margin เป็นตัวขจัดความต่างของ tax ออก

ยอดขายก่อนเข้าตลาดของ mc โตน่าประทับใจมากคือ โตจาก 1305 ไป 1817 ไป 2564 หรือเพิ่มเกือบเท่าตัวในเวลาเพียง 2 ปี โตทบต้นปีละเกือบ 40% จริงๆบริษัทก็ไม่ได้ขยายสาขาเยอะเท่าไหร่นัก จาก 405 สาขาเป็น 511 เพิ่มประมาณ 25% สิ่งที่ทำให้ยอดขายของบริษัทโตกระโดดจริงๆคือ sale per store ที่เพิ่มจาก 3.92 เป็น 6.14 ตัวเลขนี้ก็คล้ายๆกับ same store sale ของค้าปลีก พวกค้าปลีกขนาดใหญ่ sss โต 4-6% ก็หรูแล้วแต่ mc มีฐานเล็กจึงโตได้มากกว่า คนกรุงเทพที่ชอบไปเดินแต่ ctw ,paragon,emporium คงไม่ค่อยเห็นสาขาของ mc มากนักเพราะ 80% ของยอดขายมาจากต่างจังหวัด ในด้านผู้บริหารผมค่อนข้างชอบผู้บริหาร คือ คุณปรารถนา ผมคิดว่าคุณปรารถนาทำให้ pe ของ mc สูงขึ้นเนื่องจากการให้ข้อมูลที่ละเอียดตอนตลาดตกรอบก่อน mc ลงไปเหลือ 9 บากกว่าแต่สามารถกลับมาที่ราคา ipo ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งๆที่งบไตรมาสสามค่อนข้างจะโตน้อย ผมคิดว่าคงเป็นเพราะ mc ไป roadshow ที่ญี่ปุ่น ถ้าดูเวลาคุณปราถนาออก oppday จะรู้สึกได้ว่าคุณปรารถนารู้ว่านักลงทุนอยากฟังอะไรและ concern เรื่องไหน ทำให้ข้อมูลที่นำมาพูด นักลงทุนก็สามารถ clear ประเด็นข้อข้องใจได้ mc เป็นบริษัทที่มี market share สูง

 

แต่จุดที่น่ากลัวของ mc ก็มีมากเช่นกัน เรื่องแรกคือสาขาของ mc 62% ในตอนนี้ยังขายผ่าน modern trade ถามว่าเสี่ยงยังไง ก็คือ mc อาจโดนยกเลิกคำสั่งซื้อแล้ว modern trade ก็มาเปิดร้านขายเอง ซึ่งเรื่องนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วช่วงไตรมาสสาม โดยมี hyper market เจ้านึงเลิกสั่ง(แต่ตอนนี้กลับมาสนั่งแล้ว) ถ้าเกิดวันใดมีเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก บริษัทก็จะสูญเสียรายได้และกำไร บริษัทพยายามแก้เรื่องนี้โดยการเพิ่ม pos หรือจุดขายของบริษัทเองให้มากขึ้น หลายคนอาจสงสัยว่าทำไม mc pe ต่ำกว่าหุ้นค้าปลีกตัวอื่นๆ ผมเดาว่าเป็นเพราะอำนาจต่อรองของ mc ต่ำ เช่นสมมุติผมเปรียบเทียบกับ bigc,makro,cpall ธุรกิจพวกนี้มีค่าแรกเข้าที่จะเข้าไปขายของสามารถเก็บเงินจากของที่ต้องการวางในตำแหน่งที่ลูกค้ามองเห็นง่าย ก็คือบีบ supplier ได้แต่ mc ต้นทุนในการผลิตผ้าหลักๆคือ cotton เป็นราคาตลาดโลก ส่วนช่องทางการขายประมาณ 2ใน 3 ก็อยู่ที่พวก modern trade ถ้า mc มีอำนาจกับคู่ค้าจริงคงไม่เพิ่งโดน hyper market เลิกสั่งของไปหรอก เหตุการณ์แบบนี้อาจเกิดขึ้นอีกก็ได้ จริงๆแล้ว mc ไม่ค่อยเป็นหุ้นค้าปลีกพันธ์แท้เท่าไหร่ ดูแล้วเป็นลูกผสมระหว่างหุ้นค้าปลีกกับโรงงานผลิต จะเห็นได้ว่า gpm ของ mc กระโดดขึ้นมาเพราะปรับปรุงการผลิตนี้เอง เรื่องต่อมาที่เป็นความเสี่ยงคือ การรุกของแบรนต่างชาติ เช่น ยูนิโคโล่ ที่เปิดสาขามากกว่า 10 แห่งแล้วและมีแผนจะเพิ่มให้ถึง 100 สาขาในไทยล่าสุดก็มาเปิดแถวบ้านผมคือ central rama 2 เปิดวันแรกคนต่อแถวกันยาวน่าดูยังกับแจกฟรี และเป็นแบบนี้เกือบทุกสาขาที่เปิด การที่คนแห่กันไปยืนต่อแถวเต็มร้านถึงแม้จะแค่ไม่กี่วันแรกก็สะท้อนได้ว่าคนไทยนิยมของนอกมากกว่าจริงๆ รู้สึกใส่แลล้วภูมิใจที่สำคัญราคาสินค้าก็พอๆกับ mc ด้วย สาขาแรกๆที่ยูนิโคโล่เปิดคงไม่กระเทือนยอดขายของ mc เท่าไหร่ เพราะ mc ไม่มีร้านอยู่ใน ctw,paragon แต่สาขาหลังๆคงกระทบมากขึ้น เช่น mc มีสาขาที่ bigc พระราม2 พอยูนิโคโล่มาเปิดเซ็นทรัลพระราม 2 ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับ mc ก็จะเริ่มส่งผลกระทบได้ ผมคิดว่าในระยะยาวนักลงทุนของติดตามเรื่องนี้ดีๆเพราะผมว่ายูนิโคโล่ดูเป็นคู่แข่งที่เหนือชั้นกว่า mc ถ้าเขารุกจริงจังแล้ว mc แก้ทางไม่ได้คงกระทบพอสมควร  ประเด็นต่อมาคือ ตัวเลข same store sale ที่เคยเติบโตอย่างมากในสองปีที่ผ่านมาก็ติดลบใน q2 และ q3 โดยติดลบที่ 8%และ3%ตามลำดับ สะท้อนว่า mc เป็นหุ้นที่อ่อนไหวกับสภาวะเศรษฐกิจมากพอควร ไม่ได้ทนแดดทนลมเหมือนหุ้นค้าปลีกอื่นๆนี้ก็คงเป็นอีกเหตุผลที่ pe ต่ำกว่ากลุ่มค้าปลีก mc เป็นหุ้นที่ลุ้นการเติบโตของยอดขายได้จากสาขาใหม่ก็จริงแต่ยอด sss ยังดูเป็นประเด็นที่น่าห่วงบางท่านที่จำคาดการณ์ growth อาจจะคำนวณว่า ปลายปีนี้ mc มีสาขา 600 แห่งและมีแผนการขยายสาขาปีละ 100 สาขาซึ่งก็คือการเติบโตปีละ 15% ซึ่งก็ถือว่ายังโตใช้ได้แต่ความเป็นจริงคงไม่ใช่เพราะสาขาที่จะขยายเป็นทำเลเกรด b c คงเทียบเป็นบรรยัติไตรยางค์กับสาขาเดิมๆไม่ได้ และถ้า sss ไม่โต npm จะลดลงเพราะค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าคนงานเพิ่มแต่ยอดขายเท่าเดิม ในแง่ market share สูงถึงเกือบ 40% ถ้าจะเพิ่มได้อีกคงไม่มากนักกลัวแต่จะโดนแย่งมากกว่า ส่วน gpmและ npm น่าจะ maintain ได้ถ้าราคาฝ้ายไม่แกว่งรุนแรงมาก(ต้นทุนผลิตยีน)และ sssโตกว่าเงินเฟ้อ แต่คงจะเพิ่ม gpm npm จากระดับนี้ได้ยากหน่อย สรุปว่า mc เป็นหุ้นที่มีแผนการเติบโตที่ชัดเจน มีฐานะทางการเงินใช้ได้ แต่มีความเสี่ยงเรื่องคู่แข่งที่สูง

Comments (17)

หุ้น ipo ปี 2012-2013

หุ้น ipo ผมลองสรุปหุ้น ipo ในรอบ 1-2 ปีเล่นๆนะครับ

ผมไม่มีหุ้นเหล่านี้ไม่ได้ช็อตหุ้นเหล่านี้ไว้ ไม่ได้ประโยชน์อะไร

แค่เขียนเป็นการจดบันทึกเอาไว้เล่นๆ แชร์ให้อ่านเฉยๆ

1.ธุรกิจสายการบิน เป็นที่รู้กันว่าธุรกิจ lcc หรือ low cost มีการเติบโตมากกว่า
การบินดั้งเดิมแบบ การบินไทยเยอะ ลองดูจากตัวเลขยอดขายของ
nok aav thai เทียบกันก็คงเห็นได้ไม่ยาก ธุรกิจนี้ถือว่าอยู่ในจุดที่เรียกว่า

high market growth,increase market share ได้
แต่ทำไม pe ค่อนข้างต่ำหลายคนอาจจะคิดว่าเป็นโอกาสซื้อ
แต่ธุรกิจนี้มีการแข่งขันที่รุนแรงพอควร การที่ nok aav เข้ามา ipo
ก็ได้เงินไปเช่าเครื่องบินกันอีกไม่ใช่น้อย ความต้องการจะโตรองรับ demand เหล่านี้ทันหรือไหม
และต้นทุนของบริษัทสายการบินที่สำคัญเลยคือ ค่าน้ำมัน ซึ่งถ้าน้ำมันขึ้นแรงๆ ขาดทุนได้ไม่ยาก
(ลองอ่าน sensitivity analysis น้ำมันของโบรกดูได้) นอกจากนี้ธุรกิจเหล่านี้ลงทุนสูงทำให้ปันผลสูงๆได้ยาก

2.หุ้นพีอีสุดแพงอย่าง vgi vgi นั้นตอนเข้าตลาดก็ว่าราคาแพงแล้ว แต่เหลือเชื่อที่วิ่งมาราคานี้ได้ภายในปีเดียว ผมว่า vgi นั้นค่อนข้างจะเป็น perfect stock เพราะว่า บริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมที่โตสูงคือ transit ,in store media การที่ bts จะทำส่วนต่อขยายเมื่อจำนวนคนขึ้น bts เพิ่ม vgi จะสามารถขึ้นค่าโฆษณาได้มากกว่าและทำให้ margin กระโดด vgi มีแชร์ของอุตสาหกรรมสูง และ เป็นบริษัทที่โตต่อโดยใช้ capex น้อย ซึ่งจุดนี้ต่างจากธุรกิจสายการบิน ทำให้คนลงทุนคาดว่า vgi จะสามารถ pay out ratio ออกมาได้สูงมากในอนาคตจึงให้พีอีสูง โดยส่วนตัวผมชอบธูรกิจนี้มาก แต่ราคาหุ้นแถวนี้ในความเห็นผมคือ รองรับการเติบโตของ 3 ปีข้างหน้าไว้แล้ว ผมเลยไม่สนใจ

3.m m นี้ทำให้ผมรู้สึกว่าระยะหลังนี้บริษัทที่ขาย ipo ค่อนข้างจะขายราคาที่ไม่มีส่วนลดอะไรให้กับนักลงทุน บริษัทบอกว่าจะเอาเงิน ipo ไปลงทุนครัวกลาง แต่เท่าที่ดู cash flow บริษัทก่อนเข้าตลาด ผมว่าบริษัทน่าจะลงทุนครัวกลางเองได้ไม่ยากอะไร m เป็นบริษัทที่เก่งมากถ้าดูจาก net margin roa อาโออิ(roe) ก่อน m เข้าตลาดทำยอดขายเติบโตได้ 14-15% โดยเฉลี่ย ถ้านับเฉพาะสองปีก่อนเข้าเฉลี่ยระดับ 19-20% แต่หลังจากนี้แค่ 10% ก็คงหึดขึ้นคอ  ที่ m มี margin สูงระดับนึงผมคิดว่าเพราะบริษัทเสริฟอาหารได้เร็ว อาหารเป็ฯแบบสั่งมาจากครัวกลาง ลูกค้าเอาใส่น้ำร้อนเอาเอง คุมคุณภาพง่าย ขยายสาขาง่าย ที่ m เข้ามาแล้วราคาหุ้นไม่ไปไหนเพราะเข้ามาที่ พีอีสูง และ out look การ growth ต่อจากนี้น้อยแล้ว

4.mc เป็นบริษัทที่ทำตัวเลขยอดขาย gross margin net margin สูง จนรู้สึกว่าดีเกินไปไหม บริษัทมียอดขายเติบโตสูงมากๆ ในสองสามปีที่ผ่านมา แต่ล่าสุดเพิ่งโดน hyper market เจ้านึงเลิกสั่ง (เดินไปสำรวจในห้างก็จะรู้ว่าเจ้าไหน) ทำไมยอดขายเริ่มไม่โตตามเป้า แต่กำไรยังมาตามคาดเพราะในส่วนของ shop ตัวเองยอดขายดีเกินคาด และส่วนนี้มาร์จิ้นเยอะกว่าขายผ่าน modern trade market share ของ mc สูงมาก สูงจนผมนึกไม่ออกว่าจะกินจากใครเพิ่ม แต่คิดว่าพวกแบรน ยูนิโคโล่ อาจจะมากินแชร์ mc ไปมากกว่าถ้ายังขยายสาขาเพิ่มเรื่อยๆ เพราะนิสัยคนไทยยังไงก็รู้สึกเท่ ถ้าเป็นของนอก คนลงทุน mc มีความเสี่ยงเรื่อง mc โดน modern trade เลิกซื้อ กับเรื่องแบรนต่างประเทศมารุกในไทยมากขึ้น mc ะเป็นหุ้นที่ผมเฝ้าดูห่างๆ และตั้งข้อสังเกตุว่า too good to be true หรือไหม

5.ichitan ที่กำลังจะเข้าตลาด ผมดูยอดขายแล้วก็ว่าโตเยอะดี ตัวคุณตันเป็นคนเก่ง แต่มีคนชอบและไม่ชอบเยอะไม่กัน คนที่ไม่ชอบก็ให้เหตึผลว่าสร้างภาพ คนที่ชอบก็บอกว่าเขาช่วยสังคม เรื่องนี้ผมไม่มีความเห็นอะไร แต่ข้อสังเกตุของผมก็คือ ตลาดชาเขียวที่โตเร็วมากปีนี้ side ระดับ 15500-16000 ล้าน ผมไม่รู้ว่าทำไมโตเร็วขนาดนี้ จริงๆชาพวกนี้น้ำตาลเยอะมาก บางญี่ห่อเขียนว่าส่วนประกอบคือ น้ำตาล xx% ฟลุกโตสxx% แต่จริงๆแล้วฟลุกโตสมันก็น้ำตาลนั้นแหละแต่แยกกันเขียน ผมลองหาข้อมูลดูว่า คนเราไม่ควรรับน้ำตาลเกินวันละกี่กรัม และก็พบว่าน้ำพวกนี้ขวดละ 500 มล วันเดียวก็รับปริมาณน้ำตาลเกินที่ควรแล้ว ผมเลยไม่ค่อยจะบริโภณฑ์นักหรอก กลัวเป็นเบาหวานแล้วต้องตัดขา ออกนอกเรื่องมานานกลับมาคุยหุ้นต่อ ตอนคุณตันเอาโออิชิเข้าตลาดปลายปี 47 ผมเคยทำตัวเลข ตอนนั้น pe 6เท่า oishi ยังมี market share น้อยกว่า unif แต่ตอนออกโปร 30 ฝา 30 ล้าน เลยขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง จุดแตกต่างคือ ตอนนี้ ichitan แชร์เป็นอันดับหนึ่งแล้ว ถ้าเข้ามาเทรด พีอีสูงๆ ก็จะเกิดคำถามว่านักลงทุนที่ซื้อพีอีสูงๆ บริษัทจะโตได้อีกแค่ไหน เพราะคงแย่งแชร์เพิ่มยากแล้ว ต้องโตจากการขยายกำลังการผลิตอย่างเดียว ความเสี่ยงหลักคือ ภาษี สรรพสามิต

เมื่อยนิ้วแล้ว พิมพ์จนปวด ไว้ว่างๆมาเล่าใหม่ครับ

Comments (7)

หนังสือเล่มใหม่ของผมครับ

หนังสือเล่มที่สองของผมครับ จะมีวางแผงตามร้านหนังสือภายในอาทิตย์นี้ครับ เนื้อหาจะ advance กว่าเล่มแรกเยอะครับ เขียนหมดทุกมุมครับ ตั้งแต่ แวลู จิตวิทยา trend following

เนื้อหาเล่มนี้จะมีพูดถึงการดู business model ค่อนข้างเยอะ แล้วก็บัญชีขั้นประยุกต์ครับ คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนๆที่สนใจการเล่นหุ้นในเชิงพื้นฐานครับ ยังไงก็ฝากเพื่อนๆพี่ๆอุดหนุนกันหน่อยนะครับ

Comments (48)

ขยายความ npm & sg&a

NET MARGIN ต่ำดาบสองคม หลายคนเวลาอ่านงบการเงินแล้วเจอบริษัทที่มี NET MARGIN 1–2% จะรู้สึกว่าเป็นหุ้นที่ไม่น่าสนใจ จริงๆแล้ว NET MARGIN ต่ำ ถ้าเพิ่ม MARGIN ได้นิดเดียว กำไรโตระเบิดเลย อย่างบริษัทขายส่งคอมพิวเตอร์ที่มีมาร์ จิ้นบางมากแค่ 1% เศษๆเมื่อหลายปีก่อน แต่มีการบริหารจัดการที่ดี มาร์จิ้นก็ค่อยๆเพิ่มขึ้น ราคาหุ้นในรอบหลายปีก็ขึ้นมาหลายเท่ามาก ผมคิดว่าหุ้นหลายตัวธรรมชาติของธุรกิจจะมีมาร์จิ้นที่ค่อนข้างต่ำ แต่ถ้ามีการบริหารจัดการที่ดี ก็สามารถเป็นหุ้น GROWTH ที่เติบโตต่อเนื่องได้ กลับกันหุ้นบางตัวที่ MARGIN สูงแบบผิดปกติเข้าข่าย Too Good to Be True ธุรกิจที่คู่แข่งรายใหม่เข้าไปแข่งได้ง่ายจะทำให้ MARGIN ที่สูงนั้นไม่สามารถรักษาได้นาน อย่างหุ้นผลิตอิฐมวลเขาหรือนำเข้าถ่านหินเมื่อหลายปีก่อนที่เคยมี GROSS MARGIN สูงมากๆ และการเข้ามาของคู่แข่งก็ไม่ได้ยาก สุดท้ายกำไรของสองบริษัทนี้ก็ลดลงอย่างมากจากการเข้ามาของคู่แข่ง ดังนั้นการที่หุ้นมี GROSS MARGIN หรือ NET MARGIN ที่สูง ก็ไม่ได้หมายความว่าจะดีเสมอไป ในทางกลับกัน NET MARGIN ต่ำก็ไม่ได้แย่เสมอไป ดังนั้นเวลาเราดูตัวเลข GROSS MARGIN และ NET MARGIN เราต้องคิดด้วยว่ามันเหมาะสมกับลักษณะธุรกิจไหม เรื่องนี้จะมีการขยายความในส่วนของ FIVE FORCED MODEL ในภายหลัง ตัวเลขสินทรัพย์ในงบการเงินนั้นไม่ได้สะท้อนถึงคุณค่าบางอย่างที่สินทรัพย์ไม่ได้แสดงออกมา เช่น คุณอาจเข้าไปดูในสินทรัพย์ของขนมปังฟาร์มเฮาส์ ว่ามีเท่าไหร่และบริษัททำกำไรได้เท่าไหร่ แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณใช้เงินลงทุนเท่ากับสินทรัพย์ของฟาร์มเฮาส์ แล้วคุณจะได้กำไรเท่ากับฟาร์มเฮาส์ทำได้ เพราะแบรนด์ของเขาติดตลาดไปเรียบร้อยแล้ว และเขายังมีระบบการขนส่งที่ยอดเยี่ยม เนื่องจากขนมปังเป็นของสด ถ้าเขาต้องขายทั่วประเทศ ระบบขนส่งต้องดีมาก ซึ่งคงไม่ใช่สิ่งที่เลียนแบบกันง่ายๆ หรือการที่คุณดูว่าโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มีสินทรัพย์เท่าไหร่และทำกำไรได้เท่าไหร่ (ROA) ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณมีเงินลงทุนเท่ากับสินทรัพย์โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์แล้วคุณจะได้กำไรเท่ากับเขา เพราะว่าแบรนด์ของโรงพยาบาลเขาแข็งมาก เป็นที่น่าเชื่อถือและเป็นที่รู้จัก คนไข้ต่างประเทศก็เดินทางมารักษาเป็นจำนวนมาก หมอที่เก่งๆก็มีจำนวนมาก ถ้าคุณลงทุนสร้างโรงพยาบาลขึ้นมา ประเด็นคือ คนทั่วไปจะไว้วางใจโรงพยาบาลของคุณเหรอว่ารักษาดีจริง ถ้าจ่ายค่าหมอเท่ากัน หมอเกือบทุกคนคงเลือกไปทำงานที่บำรุงราษฎร์มากกว่าที่จะมาทำงานกับโรงพยาบาล NO NAME ที่เพิ่งเปิด เห็นหรือยังครับว่าอัตราส่วนทางการเงินที่แสดงในงบไม่ได้สะท้อนปัจจัยเหล่านี้ออกมา แต่ถ้าคุณจะลงทุนซื้อหุ้นคงต้องวิเคราะห์ปัจจัยเชิงปริมาณกับคุณภาพไปพร้อมๆกัน มากกว่าจะวิเคราะห์เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง

อัตราส่วน SG&A / SALE

               ปกติอัตราส่วนนี้จะเอาไว้ดูว่าบริษัทมีค่าใช้จ่ายเป็นสัดส่วนเท่าไหร่เมื่อเทียบกับยอดขาย ตามปกติแล้วตัวเลขยิ่งต่ำยิ่งดี แต่ก็มีข้อแม้ในบางกรณีเหมือนกัน เช่น บริษัทอสังหาริมทรัพย์นั้นเวลาเปิดโครงการจะยังไม่สามารถบันทึกรายได้ในงบกำไรขาดทุน แต่จะมีค่าใช้จ่ายทันทีเวลาที่เปิดโครงการ เช่น ค่าโฆษณาต่างๆ ดังนั้น ถ้าเราดู SG&A/SALE เราก็จะบอกว่าบริษัทคุมค่าใช้จ่ายได้ไม่ดี แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เพราะบริษัทยังไม่สามารถรับรู้รายได้ในตอนนี้ได้ ทำให้ยอดขายเพิ่มไม่ทันค่าใช้จ่าย ดังนั้นเราต้องดูว่า % ของ SG&A เติบโตมากหรือน้อยกว่ายอด pre sale เช่น

               บริษัท มันต้องมีดีซักซี้ดนึง

                                                   2552               2553

Pre sale                                    1000              1300

SG&A                                       150                180

SG&A/SALE                           15%              13.8%

               จะเห็นได้ว่า บริษัท มันต้องมีดีซักซี้ดนึง ทำยอดจองได้เพิ่ม 30% จาก 1000 เป็น 1300 มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเพียง 20% แสดงว่าคุมค่าใช้จ่ายได้ดี เนื่องจากยอดจองโตมากกว่าค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ทำให้อัตราส่วน SG&A/SALE ลดลง จะเห็นได้ว่ากรณีนี้ ถ้าเราใช้การวิเคราะห์ SG&A/SALE ธรรมดา เราอาจจะหลงคิดว่าบริษัทไม่น่าสนใจก็ได้ เพราะถ้าปี 2553 บริษัทนี้ยังไม่มีโครงการเก่าๆที่ครบกำหนดโอนบ้าน ยอดรับรู้รายได้อาจจะไม่เติบโต แต่พอไปดูค่าใช้จ่ายกลับโตตั้ง 20% นอกจากนี้เรายังสามารถต่อยอดแนวคิดนี้ได้ด้วยก็คือ เวลาเราเปรียบเทียบหุ้นอสังหาริมทรัพย์ เราไม่ควรดู net margin เนื่องจากว่าบริษัทที่กำลังเติบโตมากๆ จะต้องขายโครงการได้เยอะ แต่นั่นจะทำให้ค่าใช้จ่ายของบริษัทเยอะและไปกดให้ net profit margin ลด ถ้าเรานำบริษัทนี้ไปเปรียบเทียบกับอีกบริษัทที่ช่วงหลังไม่ค่อยมีออกโครงการอะไร ทำให้ค่าใช้จ่ายไม่เยอะ net profit margin เลยดูสูงกว่า แบบนี้ก็จะทำให้คนเข้าใจผิดได้ ถ้าคุณอยากดูอัตราการทำกำไรของหุ้นอสังหาริมทรัพย์ ดูที่ gross margin น่าจะสะท้อนมากกว่า net margin ครับ

Comments (5)

cut loss ควรทำหรือไม่

Cut loss เป็นสิ่งควรทำหรือไม่ นี้ดูจะเป็นปัญหาโลกแตกของคนที่อยู่ในตลาดหุ้น หลายคนซื้อหุ้นแล้วผิดทางก็ cut loss แล้วหลังจาก cut loss หุ้นก็ลงต่อไปแรงมากก็จะบอกว่า การ cut loss เป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่หลายคนซื้อแล้วพอหุ้นตกก็ cut loss ไปปรากฏว่าหุ้นขึ้นไปเยอะมาก มุมมองของคนนี้จะรู้สึกว่าการ cut loss เป็นสิ่งที่ไม่ดี ในมุมมองของผมการ cut loss นั้นไม่มีถูกหรือผิด แต่มันขึ้นอยู่กับมูลค่ามูลค่าที่เหมาะสมของหุ้นและเที่ยวบินในการวิเคราะห์ เช่น บางคนซื้อหุ้น B โดยประเมินราคาเหมาะสมไว้ที่ 15 บาท เขาซื้อตอนราคาอยู่ที่ 10บาท ถ้าหุ้นลงไปเหลือ 7.5 เขาคิดว่าราคาที่ควรจะเป็นสูงกว่าราคาในปัจจุบันถึง 100% เขาจะขายทำไม ถ้าสุดท้ายเขาคิดถูกราคาหุ้นก็ขึ้นไปที่ 15บาท ประเด็นคือเขาต้องมั่นใจว่าเขามองไม่ผิด ตัววัดว่าเขาจะคิดถูกหรือผิดก็คือ กำไรของบริษัทเป็นไปตามที่เขาคาดหรือไม่ เช่น ถ้าเขาคิดว่าหุ้น b จะทำกำไรจาก 1 บาทต่อหุ้นเป็น 1.5 บาทต่อหุ้นและให้ PE เหมาะสมที่ 10 เท่า ถ้าเกิดว่าหุ้น b ทำกำไรโตจาก 1บาทต่อหุ้นเป็น 1.5 ได้จริง แต่ราคาหุ้นกลับลดลงเพราะภาวะตลาดย่ำแย่มาก นักลงทุนส่วนใหญ่เริ่มกลัวว่าจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ อาจทำให้หุ้นบางตัวราคาลดลง แม้ว่ากำไรจะดีขึ้นแต่ในที่สุดแล้วถ้าหุ้นตัวนี้ดีจริงจากราคา หุ้นก็จะกลับมาได้ ดังนั้นคนที่ cut loss ตอนหุ้นลงไปเหลือ 7.5 ก็จะเป็นการขายผิดจังหวะ ในทางกลับกันถ้าหุ้น b ที่คิดว่ากำไรจาก 1 บาทต่อหุ้นจะเพิ่มเป็น 1.5 แต่ดันไม่เป็นแบบนั้น กำไรดันลดลงไปเหลือเพียง 0.50 สตางค์ แบบนี้ถ้าหุ้นลงไป 7.5 ก็ควร cut loss เพราะถ้าหุ้นตัวนี้มี PE 10 จริง หุ้นก็จะลงไปเหลือเพียง 5 บาทซึ่งที่ 7.5 ก็ยังถือว่าแพงและที่ทุน 10 บาทถือว่าแพงมากๆ จะเห็นได้ว่านักลงทุนแนวพื้นฐานหุ้นควร cut loss ต่อเมื่อผลการดำเนินงานไม่เป็นไปตามคาด

และที่สำคัญนักลงทุนไม่ควรซื้อหุ้นที่มีราคาตลาดสูงกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น หลายครั้งแม้ผลประกอบการจะเป็นไปตามคาด แต่บางครั้งราคาหุ้นอาจขึ้นไปสะท้อนผลกำไรที่จะประกาศผลออกมาดีแล้ว ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนสูง ต้องดูเป็น case by case แต่ส่วนใหญ่ถ้าหุ้น PE สูงมากๆ เช่นเกิน 20 เท่าก็จะสะท้อนได้พอควรว่าหุ้นมีความคาดหวังสูง และในบางมุมการ cut loss หรือไม่ก็อยู่ที่ตัวธุรกิจที่เราลงทุนด้วย ถ้าเราลงทุนหุ้นค้าปลีก, โรงพยาบาล หุ้นพวกนี้กำไรโตได้เรื่อยๆต่อเนื่องจากการขยายสาขาหรือปรับค่ายาและโลกเราเข้าสู่ยุคที่มีคนสูงอายุเพิ่ม ทำให้สัดส่วนประชากรที่ซื้อยาสูงขึ้น หุ้นเหล่านี้จะมีปัจจัยที่ผลกำไรจะตกลงและไม่กลับมาที่เดิมอีกยาก ต่างจากหุ้น commodityหลายประเภท เวลากำไรลดหลายครั้งลดจนขาดทุน และแม้เศรษฐกิจจะฟื้นตัว หุ้นเหล่านี้ก็ยังไม่สามารถกลับมามีกำไรในระดับสูงได้อีกเลย ผมคิดว่าถ้าหุ้นที่เราถืออยู่เป็นประเภท mega trend ว่าในอนาคตกำไรจะโตต่อเนื่องจากพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไปหรือจากเหตุผลอื่นๆ ถ้าเราซื้อในราคาไม่แพง หุ้นเหล่านี้ การ cut loss อาจสร้างความผิดพลาดได้สูงเพราะสุดท้ายราคาหุ้นก็กลับมา แต่ถ้าเป็นหุ้นเก็งกำไรหวือหวาตามข้าว หุ้นแนวนี้ถ้าไม่ cut loss มีโอกาสเสียหายหนัก ข้อสรุปของผมคือ การจะ cut loss หรือไม่ขึ้นอยู่กับประเภทของหุ้นและเหตุผลว่าตอนซื้อไปคาดหวังอะไรแล้วผลลัพธ์ออกมาเป็นอย่างไร

Comments (8)

roe สำคัญอย่างไร

ROE สูงแล้วดีอย่างไร หลายคนอาจจะรู้ว่า ROE สูงหมายถึงผลตอบแทนของบริษัททำได้สูงเมื่อเทียบกับทุน แต่วันนี้ผมจะเล่ารายละเอียดเพิ่มว่า ROE ที่สูงต่อเนื่องนั้นส่งผลต่อ wealth ของผู้ถือหุ้นสูง ยกตัวอย่าง บริษัท มองได้แต่อย่าชอบ มีทุน 1,000ล้าน ทำกำไรได้ปีละ 200ล้าน ดังนั้น ROE จึงเท่ากับ 20% ถ้าบริษัทมองได้แต่อย่าชอบไม่จ่ายปันผลเลย ในปีต่อมา ทุนของบริษัทจะกลายเป็น 1,200ล้าน เพราะ 200ล้านจะเป็นกำไรสะสมของบริษัท ถ้าบริษัทจะรักษา ROE 20% บริษัทจะต้องมีกำไรโต 20% ซึ่งกำไรจะเพิ่มจาก 200ล้านเป็น 240ล้าน ซึ่งจะทำให้บริษัทมี ROE ในปีต่อมาที่ระดับ 20% ผมลองดูหุ้น 20-30 ตัวที่ให้ผลตอบแทนที่ดีถ้าถือระยะยาว เกือบทุกตัวจะมี ROE สูงสม่ำเสมอ ผมไม่แปลกใจเลยเพราะการรักษา ROE ในระดับสูงได้นานๆแสดงว่าการเติบโตของกำไรในระยะยาวจะต้องสูงด้วย และหุ้นที่มีการเติบโตของกำไรระยะยาวสูงต่อเนื่อง ก็เป็นธรรมดาที่ผู้ถือหุ้นจะมีความมั่งคั่งสูง แต่การดู ROE ก็ยังมีข้อสังเกตเพิ่มเติมอีก ก็คือว่าถ้าบริษัทจ่ายปันผล 100% ของกำไรที่บริษัททำได้ แม้บริษัทจะกำไรไม่โต แต่บริษัทก็สามารถรักษา ROE ในระดับสูงได้ ยกตัวอย่างเช่น บริษัท รักนะเด็กโง่ มีทุน 2,000ล้าน และมีกำไร 400 ล้าน ก็จะมี ROE 20% ถ้าบริษัทนี้ปันผลออกมาทั้งหมด 400ล้าน ทุนของบริษัทก็จะเท่าเดิมก็คือ 2000 ล้านและถ้าบริษัททำกำไรได้เท่าเดิมคือ 400ล้าน บริษัทก็จะมี ROE 20%ไปเรื่อยๆ กลายเป็นว่าแม้กำไรไม่โต ROE ก็สูงต่อเนื่องได้ ซึ่งผมคิดว่าบริษัทลักษณะนี้ ระยะยาวแล้วผู้ถือหุ้นน่าจะได้อะไรน้อยกว่าบริษัทที่ไม่ปันผลเลยแต่โตปีละ 20% ดังนั้นถ้าเราเห็นหุ้นบางตัวมี ROEสูงต่อเนื่อง แต่เกิดกับบริษัทปันผลออกมาทั้งหมดของกำไรที่ทำได้ แบบนี้หุ้นตัวนี้อาจเข้าข่ายหุ้นที่ธุรกิจถึงอิ่มตัวเลยไม่ต้องนำเงินไปลงทุนเพิ่มก็ได้ นอกจากนี้การดู ROEจะมีหลายคนถกประเด็นเรื่องการก่อหนี้ของบริษัท เนื่องจากถ้าบริษัทก่อหนี้สูงและใช้ทุนต่ำ แม้บริษัทจะมี ROEสูง แต่บริษัทก็ดูมีความเสี่ยงสูง ประเด็นนี้ผมว่าเราต้องดูรายละเอียดเป็น case by case เช่นบางบริษัทมี D/E 0.4 เท่า และขายของเป็นเงินสด บริษัทจะขยายโรงงาน ถ้าดูจาก D/E ratio บริษัทคงจะกู้เงินได้สบายแต่บริษัทกลับเลือกเพิ่มทุน แบบนี้คงไม่เป็นผลดีต่อผู้ถือหุ้น เพราะการเพิ่มทุนจะทำให้ส่วนแบ่งกำไรเพิ่ม ในกรณีนี้แม้บริษัทจะมี D/E ต่ำก็ไม่ถือว่าดี เพราะบริษัทเลือกที่จะไม่กู้ทั้งๆที่กู้ได้ ในทางกลับกันถ้าอีกบริษัท D/E 0.8เท่า และเลือกจะกู้เพิ่มเพื่อลงทุน ทำให้หนี้เพิ่มขึ้น 50% D/E ก็กลายเป็น 1.2เท่า ถ้าการขยายกำลังผลิตเกิดผลสำเร็จขายของได้ดี กำไรของบริษัทจะเพิ่มขึ้นและทำให้ ROEสูงขึ้น ในกรณีนี้แม้ ROEสูง จากการเพิ่ม debt แต่ก็ถือว่าดีกว่าบริษัทแรกที่เลือกเพิ่มทุนทั้งๆที่กู้ได้ ถ้าเราจะตัดสินว่าบริษัทหลัง ROEสูงกว่า เพราะ D/Eสูงกว่า และมองว่าหุ้นไม่น่าสนใจเท่าบริษัทแรกเราก็อาจจะหลงประเด็น  เท่าที่ผมรวบรวมข้อมูลของหุ้นที่ฟื้นตัวแรงๆหลังวิกฤติหลายตัว เป็นหุ้นที่ ROEสูง ซึ่งคงไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าเราเข้าใจว่า ROE ที่สูงส่งผลดีต่อผู้ถือหุ้นอย่างไร

คำถามคือ

ROE เท่าไหร่ถึงจะดี

ถ้าเราคิดว่า ROE สูงๆสม่ำเสมอเป็นเรื่องดีแล้ว จะมีคำถามว่าแล้วระดับของ ROE ควรจะเป็นกี่% ผมคิดว่าควรจะมากกว่า 20%ต่อเนื่อง ถามว่าทำไมนั้นก็เพราะ ROE ควรจะมากกว่า WACCซึ่งWACC คือต้นทุนของบริษัทที่เป็นการถัวเฉลี่ยระหว่างส่วนของทุนและเงินกู้ ซึ่งปกติแล้วต้นทุนของบริษัทมักจะอยู่ในระดับ 8-10%โดยเฉลี่ย ถ้าบริษัทมี ROEเพียง 5% เท่ากับว่าต้นทุนของบริษัทสูงกว่าผลตอบแทนที่บริษัททำให้กับผู้ถือหุ้นหรือ WACC>ROE ถ้าเป็นแบบนี้ไปนานๆ ผู้ถือหุ้นของบริษัทคงแทบไม่ได้อะไรเลย เข้าข่ายเป็นบริษัทประเภท destroy value ซึ่งผมเห็นบริษัทที่มีโครงสร้างลักษณะนี้ ส่วนใหญ่หุ้นจะต่ำ BVเยอะ แล้วคนถือหุ้น 3-5ปี ก็จะแทบไม่ได้กำไร ส่วนใหญ่ขาดทุนด้วยซ้ำ ในทางกลับกันผมคิดว่าถ้าต้นทุนของบริษัทโดยเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 8-10% ROEที่สูงกว่าในระยะยาวก็ย่อมต้องสร้าง wealthให้กับผู้ถือหุ้นได้สูงอย่างต่อเนื่อง โดยส่วนตัวผมจะสนใจถ้าหุ้นมี ROEมากกว่า 20%ขึ้นไป เพราะว่ามากกว่าต้นทุนของบริษัทถึงสองเท่า แบบนี้ยิ่งถือนานก็ยิ่งดี

Comments (13)

ขอเชิญร่วมงานเปิดตัวหนังสือ livermore ของ mangmaoclub

 

ทางห้องสมุดมารวยได้เชิญพี่ mangmaoclub พูดเปิดตัวหนังสือการลงทุนของ livermore และผมได้รับเกียรติให้เป็นผู้ดำเนินรายการ งานนี้ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย อยากเรียนเชิญเพื่อนๆทุกท่านไปร่วมงานครับ

ผมคิดว่านักลงทุนแนวพื้นฐานก็สามารถไปร่วมงานได้ครับ เนื่องจาก livermore เป็นบุคคลที่เป็นนักเทรดระดับโลกในตำนาน แนวคิดหลายอย่างของเขาดีมาก ซึ่งไม่ว่าเราจะเป็นนักลงทุนสไตล์ไหนเราก็สามารถนำหลักการของเขามาประยุกต์ได้ livermore เป็นคนที่มีเรื่องราวน่าเรียนรู้มาก แต่ในเมืองไทยไม่ค่อยมีใครพูดถึง ส่วนใหญ่ทุกคนจะพูดถึงแนวคิดของ บัฟเฟต หรือ ปีเตอร์ ลิน ครั้งนี้เป็นโอกาสดีที่พี่มด แมงเม่าคลับจะมา ล้วงตับ (ไม่ใช่กินตับ) ลิเวอร์มอ ให้ฟังกันครับ สำหรับเพื่อนๆที่เคยมีปัญหาเรื่อง จะเข้าซื้อตรงไหน จะขายราคาไหนดี เพราะชอยขายหมูเหลือเกิน ลองมาฟังกันนะครับ

โดยเพื่อนๆท่านไหนอยากให้มีคำถามอะไร ฝากคำถามไว้ที่ผมในหัวข้อนี้ได้นะครับ เพราะผมจะเป็นผู้ดำเนินรายการในวันนั้นครับ แล้วเจอกันครับ

สถานที่ถ้ามีคนจองเยอะจะเปลี่ยนจากภายในห้องสมุดมารวยไปเป็นห้องโถงนิทรรศการชั้น 1 นะครับ

Comments (15)

หุ้นค้าปลีก ตอน 1

ก่อนอื่นออกตัวว่าบทความนี้เป็นการเขียนถึงลักษณะของธุรกิจค้าปลีกคร่าวๆทั้งนั้น ไม่ได้เป็นคำชวนเชิญให้ซื้อหุ้นแต่อย่างใด

 

แต่ก่อนผมแกะงบไม่เป็นผมเคยคิดว่าเวลาจะคิดว่าหุ้นค้าปลีกกำไรจะโตกี่ % ก็คิดว่าเขาขยายสาขากี่% ไปเลย เช่นแต่เดิมมี 20 สาขา เปิดเพิ่มสองสาขาก็เป็น 22 สาขา รายได้และกำไรก็น่าจะโตได้ 10%

5555 (สมัยนี้ไม่คิดแบบนั้นแล้วนะ)

แต่จริงๆแล้วเวลาเราแกะงบเราต้องไล่จากยอดขายลงมาเช่น

ถ้าบริษัทมียอดขาย 1 แสนล้าน มีสาขาอยู่ 50 สาขา แล้วเปิดเพิ่มอีก 3 สาขา เราต้องดูว่าสาขาที่เปิดเพิ่มเปิดช่วงต้นปี กลางปี หรือ ปลายปี ถ้าเปิดต้นปี ยอดขายของปีปัจจุบันจะได้รับผลโตมากกว่าไปเปิดปลายปี

นอกจากนี้เราต้องดูว่าสาขาที่เปิดมีพื้นที่มากน้อยแค่ไหนที่เป็นจำนวน ตารางเมตร เมื่อเทียบกับสาขาเดิมๆ จะทำให้เราพอจะรู้ได้ว่ายอดขายจะโตได้เท่าไหร่

จุดที่สำคัญจุดแรกของหุ้นค้าปลีกคือ sssg หรือ same store sale growth

หรือยอดขายสาขาเดิม

สมมุติว่า makro มียอดขาย 97000 ล้าน และเราคาดว่าปีต่อไปจะมี sssg โต 6% ยอดขายของปีต่อไป 102820 การพิจรณาการเติบโตของ sss เป็น art เล็กน้อยเราต้องคอยติดตาม movement ของบริษัทว่าจะมีแนวโน้มไปในทางไหน หลังจากที่เราได้ยอดขายสาขาเดิม เราก็มาดูต่อว่าบริษัทเปิดสาขาเพิ่มกี่สาขา อย่างกรณี makro เบื้องต้นจะเปิดอีก 3 สาขาในช่วงต้นปี เราก็ลองไปดูว่าสาขาเหล่านั้นใหญ่ไหมและมีกำลังซื้อมากไหม แล้วเราก็ตั้งสมมุติฐานเกี่ยวกับยอดขายที่เพิ่ม สมมุติว่าเราคิดว่าอีก 3 สาขาที่เปิดเพิ่มจะทำให้ยอดขายทั้งปีเท่ากับ 5 พันล้าน เราก็นำ 102820 คือยอดขายสาขาเดิม + 5000 เป็นยอดขายที่เราคาดการณ์ของปีนี้เป็นต้น

ธุรกิจค้าปลีกแตกต่างจากธุรกิจรับจ้างผลิต ถ้าบริษัทมีกำลังผลิตเท่าไหร่ยอดขายก็มักจะเท่าเดิมแต่ขายปีจะมีการเพิ่มขึ้นของยอดขายสาขาเดิมตลอด บวกกับ สาขาใหม่ทำให้การเติบโตค่อนข้างแน่นอน

ประเด็นต่อมาคือหุ้นค้าปลีกส่วนใหญ่จะรับเงินสด แต่จ่ายเงินเชื่อทำให้แม้จะขยายสาขาจำนวนมากบริษัทก็จะไม่ขาดเงินสด

ประเด็นต่อมาที่ทำให้ธุรกิจนี้กำไรโตมากคือการเพิ่มขึ้นของ gross margin ซึ่งมักจะมาจากสินค้าที่บริษัทได้กำไรมากกว่า เช่นกรณี cpall การขายแซนวิช หรืออาหารแช่แข็งบริษัทย่อมได้กำไรมากกว่าการขาย เถ้าแก่น้อยหรือมาม่า กรณีของ hmpro bigc makro ก็ขายสินค้า house band ก็คือสินค้าของบริษัทเอง การเพิ่มขึ้นของ gross margin นั้นส่งผลต่อกำไรสุทธิ์สูงมาก

 

ลองดูตัวอย่าง สมมุติตัวเลขธุรกิจค้าส่ง

sale    10000   gm 7%  npm 2%

กำไรขั้นต้น 700 ล้านกำไรสุทธิ์ 200 ล้าน

 

ถ้า gross margin เพิ่มเป็น 8% จะกระทบต่อ npm สูงมาก

เนื่องจากค่าเสื่อมราคาไม่เพิ่ม(ถ้าไม่ขยายสาขา)ดอกเบี้ยจ่ายไม่เพิ่ม

สมมุติว่า gross margin เป็น 800 ล้านค่าใช้จ่ายอื่นๆแทบจะเหมือนเดิม เท่ากับกำไรส่วนเพิ่ม 100 ล้านนี้แทบจะไม่ต้องลบกับอะไรเท่าไหร่ ถ้าบริษัทมีฐานภาษี 30% กำไรส่วนเพิ่มก็จะเหลือ 70 ล้าน เท่ากับว่า กำไรเติบโต 20% เศษๆถ้าเทียบจากฐานกำไรเดิม 200 ล้าน โดยที่ยังไม่นับ sssg และสาขาใหม่กับรายได้อื่นๆ

ประเด็นต่อมาคือ การเปรียบเทียบ net profit margin ของหุ้นแต่ละตัวข้ามกันเช่น bigc marko ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องเนื่องจาก bigc ขายให้ลูกค้าปกติแต่ makro เน้นค้าส่งจะทำให้ makro จะต้องมี margin น้อยกว่าเนื่องจากว่าถ้า makro margin เท่า bigc แล้วพวกโชว์ห่วยที่ซื้อของจาก makro จะไปขายกำไรได้อย่างไร

เราสามารถเห็นได้จาก gm ของ bigc ไตรมาสล่าสุด 16.6% ส่วน makro 8.6%

แต่สิ่งที่ชดเชยก็คือ makro มียอดขายปีล่าสุด 97000 ล้านแต่มีสินทรัพย์ 30319

แต่ bigc มียอดขาย 113640 แต่มีสินทรัพย์ 90000

จะเห็นได้ว่า makro มียอดขายเกือบ 3 เท่าของสินทรัพย์

แต่ bigc มีเพียง 1 เท่าเศษ

ซึ่งทำให้แม้ gross margin ของ makro จะน้อยกว่า bigc มากแต่ขายบ่อยมากทำให้โดยรวมแล้วไม่ได้ด้อยกว่าเลย

ผมไม่ได้จะบอกว่า bigc ด้อยกว่า makro หรือ makro ดีกว่า bigc แต่ผมอยากจะสื่อว่า อย่าเทียบ ratio ข้ามกันเพราะธุรกิจต่างกันแม้จะอยู่กลุ่มเดียวกันครับ

ตอนหน้ามาดู cpall hmpro robins กันบ้างครับว่ามีปัจจัยอะไรบ้าง

 

Comments (12)

ร่วมแชร์ประสบการณ์รับหนังสือลงทุน 5 เล่ม

หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ยังไม่ออกวางแผนตามร้านทั่วไป พอดีผมได้มาจำนวนนึง เลยอยากนำมาแจกทางเว็บ

หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่รวบรวมจากเว็บ thaivi ในกระทู้ตระแกรงร่อนหุ้นซึ่งมีหลักการลงทุนแบบพื้นฐานสอดแทรกไว้ค่อนข้างมากและเป็นหนังสืออีกเล่มที่อ่านแล้วรู้สึกว่า classic มาก เพราะมีเรื่อง valuation ค่อนข้างเยอะ และมีเรื่อง model ธุรกิจอีกมากพอสมควร

เป็นหนังสือที่แนะนำให้ซื้อติดบ้านไว้ น่าจะมีวางแผนตามร้านทั่วไปในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้า

ผมอยากจะจัดกิจกรรมเพื่อแจกหนังสือเล่มนี้ โดยมีเงื่อนไขว่า

ต้องเลือกตอบคำถามข้อใดก็ได้ดังต่อไปนี้มา 1 ข้อ

1.ให้บอกประสบการณ์ตีแตกหุ้นที่ได้กำไรมากกว่าเท่าตัวในอดีต ว่าตอนซื้อมีวิธีคิดอย่างไร

สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่ยังไม่เคยมีหุ้นที่ได้กำไรมากกว่าเท่าตัว สามารถเลือกตอบข้อต่อไปได้

2.ท่านใช้งบการเงินในการลงทุนอย่างไรบ้าง ขอให้ยกตัวอย่างว่าถ้าจะลงทุนหุ้น 1 ตัวท่านใช้อัตราส่วนทางการเงินแบบไหนในการดูบ้าง พร้อมยกตัวอย่างหุ้น

เขียนลงในบล็อกนี้เลย คนอื่นจะได้อ่านด้วย คนที่ตอบโดนใจมากที่สุด 5 คน ผมจะส่งหนังสือเล่มนี้ไปให้ที่บ้าน โดยจะประกาสผลวันที่ 12 มีนาคม คนที่ได้รางวัลขอให้ ส่ง ชื่อ ที่อยู่มาให้ผมที่ honghardcore@hotmail.com ในวันที่ 13 มีนาคม และสำหรับคนที่ตอบโดนใจมากที่สุด สามคนแรก นอกจากจะได้หนังสือแล้วจะได้สิทธิ์ไปอบรมเรื่อง financial projection&commodity  ด้วย(คนที่ได้สิทธิ์ไปอบรมต้องเสียค่าสถานที่ 500 บาทแต่ไม่มีค่าเรียน)

Comments (30)

คำคมของเซียนหุ้น

คำคมของเซียนหุ้นระดับโลก

 

ปีเตอร์ลิน กล่าวไว้ในหนังสือ beating the street ว่า

ไม่ว่าคุณจะใช้วิธีการไหนเลือกหุ้นสุดท้ายสิ่งที่จะตัดสินว่าคุณจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวคือความสามารถในการเพิกเฉยต่อความกังวลกับเรื่องต่างๆในโลกได้ยาวนานพอที่จะทำให้การลงทุนของคุณ ประสบความสำเร็จ

สิ่งที่จะกำหนดชะตากรรมของนักลงทุนไม่ใช่ความเฉลียวฉลาดแต่เป็นความสามารถในการควบคุมอารมณ์ต่างหาก นักลงทุนขี้ตกใจจะถูกกดดันให้ออกจากตลาดในยามที่ตลาดเต็มไปด้วยข่าวร้าย ไม่ว่าพวกเขาจะเฉลียวฉลาดปานใดก็ตาม

ผมคิดว่าคำพูดนี้เป็นจริงมากในชีวิตการลงทุนจริงๆ ปัจจุบันนี้ดูเหมือนว่าการหาความรู้ทางการลงทุนจะไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไปสำหรับนักลงทุนทั่วไป แต่สิ่งที่ยากก็คือ การควบคุมจิตใจไม่ได้ “สติแตก” ในเวลาที่หุ้นลง หลายคนซื้อหุ้นได้ในราคาไม่แพงแต่ก็ขายหุ้นเหล่านั้นออกไปในราคาขาดทุนหรือแทบไม่ได้กำไร เพราะหุ้นเหล่านี้ลงไปหลังจากที่เขาซื้อ แม้ว่าเขาจะมั่นใจในพื้นฐานหุ้นแค่ไหนก็ตาม แต่เขาคิดว่าถ้าหุ้นลงแสดงว่าเขาคิดผิดเพราะน่าจะมีคนที่รู้ดีกว่าตัวเขาอยู่ที่กำลังขายหุ้นตัวนั้น อย่ากระนั้นเลย ละทิ้งทุกสิ่งที่เขาคิดแล้วโยนขายหุ้นตามไปเลยดีกว่า น่าจะสบายใจดี ปรากฏว่าในอีกครึ่งปีต่อมาหุ้นตัวนั้นก็ขึ้นไปถึง 70% และกำไรของหุ้นก็ออกมาตามคาดเสียด้วย ผมเชื่อว่าคนจำนวนมากเคยเจอเรื่องแบบนี้ และผมเองก็เคยมีประสบการณ์ที่ขมขื่นแบบนี้มาแล้วเหมือนกัน

ความเห็นของผมคือ แม้ว่าคุณเข้าใจในพื้นฐานหุ้นมากๆ แต่ถ้าคุณ สติแตกง่าย คุณก็มีแนวโน้มที่จะไม่ประสบความสำเร็จทางการเงินอยู่ดี

 

ต่อมาเป็นคำพูดของ ลิเวอร์มอ

-ลิเวอร์มอ กล่าวในหนังสือ how to trade in  stock ว่า

ถ้าคุณอยากจะเป็นนักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จจงขจัดความคิดเพ้อฝันออกไปจากหัวซะ ซึ่งความคิดพวกนั้นก็คือ ความคิดนั้นก็คือ ความคิดว่าคุณจะสามารถประสบความสำเร็จในการเก็งกำไรได้ตลอดเวลา ทุกวัน ทุกอาทิตย์ ลิเวอร์มอกล่าวว่า ผู้ที่มหกมุ่นกับการเก็งกำไรรายวันจะมองไม่เห็น trend ที่ใหญ่กว่านั้นและเมื่อไหร่ก็ตามที่เริ่มมีเทรนชัดๆ นักลงทุนเหล่านั้นจะไม่ได้ประโยชน์จากเทรนใหญ่เพราะเขาหมกมุ่นกับการหาประโยชน์รายวันมากเกินไป

 

คำกล่าวของลิเวอร์มอ น่าสนใจไม่น้อยเพราะ ลิเวอร์มอเป็นนักเก็งกำไรระดับโลก แต่เขาไม่ได้เก็งรายวัน ซื้อเช้าขายเย็น เมื่อนักลงทุนที่ชอบเทรดด้วยสโลแกนว่า เทรดหาค่ากับข้าว ดูเหมือนว่าคนที่ประสบความสำเร็จสูงนั้นจะมองเทรนที่เป็นหลักเดือนหลักปีมากกว่า วันหรืออาทิตย์ พวกเสี่ยๆในเมืองไทย บางคนก็บอกว่าปีนึงจะเทรดไม่กี่คนขอให้มั่นใจว่าทำกำไรได้แน่ชัวๆหน่อยค่อยเล่น ไม่เล่นตลอดเวลา

 

คำพูดสุดท้ายเป็นคำพูดของ buffet

ที่บอกว่าให้คิดซะว่าชีวิตนี้คุณซื้อหุ้นได้แค่ 20 ตัวก็พอ นั้นก็คือ ให้หวดต่อเมื่อเป็นวงสวิงที่ perfect เท่านั้น

 

ในชีวิตผมได้เจอกับเซียนหุ้นมาเยอะพอสมควร ผมสังเกตุว่าพวกเขาหลายคนที่รวยจากการเล่นหุ้น 50-100 เท่าใน 7-10 ปีย้อนหลังมานี้ เขาทำกำไรจากหุ้นไม่ถึง 10-12 ตัว ดูเหมือนแต่ละตัวพวกเขาถือกันเป็นปีหรือปีครึ่ง และได้แต่ละตัวเป็นเท่าๆกันทั้งนั้น ผมก็คิดว่าสิ่งที่บัฟเฟตพูดก็สะท้อนความเป็นจริงที่ประสบการณ์ผมได้เจอมาจริงๆ คือคนที่กำไรเยอะมากๆนั้น ไม่จำเป็นต้องได้มาจากหุ้นที่มากตัว แต่ได้จากไม่กี่ตัวแต่ตัวนึงเยอะๆ

การที่เราคิดว่าชีวิตนี้เราซื้อหุ้นได้ไม่กี่ครั้งจะทำให้การซื้อแต่ละครั้งมีความรอบคอบสูง ต้องมี mos สูงแต่ทำการบ้านหนักทำให้แต่ละครั้งที่ลงทุนมักจะไม่ค่อยผิดพลาด แต่กลับกันถ้าเราซื้อขายบ่อยมากเกินไป เรามักจะรู้พื้นฐานของหุ้นได้ไม่ละเอียดมาก และเราอาจไม่ได้ต่อราคามากเท่าไหร่ เพราะโอกาสที่ดีของการลงทุนจริงๆแล้วมีไม่ได้บ่อยนัก แต่ถ้าเราซื้อขายบ่อยมากๆ น่าจะสะท้อนว่าความรอบคอบของเราไม่มากนัก

Comments (9)

แนะนำ link สอนเรื่องงบการเงินสำหรับเพื่อนๆครับ

http://www.tsi-thailand.org/content/swf_account_tracking/presentation.html

 

ต้องขอบคุณ tsi ที่มี link นี้ครับได้ประโยชน์มากๆ

แนะนำเพื่อนๆทุกคนที่สนใจเรื่องงบการเงินลองเข้าไปศึกษาดูนะครับ

 

ผมขอใช้พื้นที่ตรงนี้พูดความในใจเล็กน้อยนะครับ

ผมคิดว่ามีหลายคนที่รู้สึกไม่ชอบที่หลังๆผมจัด course แบบปิด

แต่จริงๆแล้วตอนนี้มีหลายคนส่งเมล์มาให้ผมเขาบอกว่าเขาได้เรียนรู้เยอะมากจากการพยายามทำ financial projection ซึ่งผมคิดว่าในวันงานเขาคงจะได้ประโยชน์เต็มที่เพราะเขาได้ค้นคว้าและทบทวนมาก่อนแล้ว

หลายคนคิดว่าผมหยิ่งที่ไม่เปิดรับคนทั่วไป จริงๆแล้วไม่ใช่นะครับ ถ้าผมอยากได้เงินผมก็ประกาศเก็บเงินแล้วก็เรียกคนมาให้เยอะที่สุด ผมก็ไม่เสียประโยชน์อะไรด้วยซ้ำนะครับ ส่วนนึงผมอยากให้คนที่ส่งไฟล์มาได้ฝึกทำการบ้าน และผมเองก็อยากเรียนรู้จากพวกเขาได้ซึ่งผมคิดว่าเป็นการสร้างสังคมการแลกเปลี่ยนความรู้ เพราะในวันงานพวกเขาก็จะได้ฟังเนื้อหาที่ผมเตรียมมาอย่างยากลำบากมากๆเหมือนกัน นอกจากนี้พวกเขาก็ยังได้สังคมการลงทุนที่ดีสำหรับแลกเปลี่ยนความรู้กลับไปอีกด้วย บางทีการจัดกิจกรรมก็ไม่สามารถทำให้ทุกคนพอใจได้ เพราะถ้าเปิดรับแล้วสอนโดยไม่มีการกรองพื้นฐานของผู้เรียน หลายคนเสียเงินมาแล้วเขาก็เรียนไม่รู้เรื่อง ผมได้เงินไปก็ไม่มีประโยชน์เพราะคนมาก็ไม่ได้ความรู้ แต่ผมจัดแบบนี้ผมไม่มีรายได้และคนมาแต่คนที่มาแต่ละคนกลับได้ฝึกตัวเองและเรียนรู้ได้มากกว่า ผมคิดว่าแบบนี้ win win สำหรับคนสอนและคนเรียน

 

สำหรับเพื่อนๆที่เป็นมือใหม่ผมจะพยายามหาเนื้อหาสำหรับมือใหม่มาโพสในบล็อกนะครับ และในวันอาทิตย์นี้ผมมีไปเป็นวิทยากรให้ตลาดหลักทรัพย์ไปพูดที่ สิริกิตต์เพื่อนๆที่สนใจฟังเรื่องการลงทุนก็สามารถไปฟังได้ฟรีนะครับ ดูรายละเอียดได้จาก link นี้ครับ

http://www.set.or.th/investthailand/home.html

 

Comments (11)

แนะนำหนังสือ เคล็ดลับเซียนหุ้นบันลือโลก

หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือการลงทุนที่ดีมากๆเล่มหนึ่งที่นักลงทุนไม่ควรพลาดครับ

หรังสือ เล่มนี้มีการพูดถึงหลักการลงทุนของ กุรุระดับโลกหลายต่อหลายคน เช่น

วอร์เรน บัฟเฟต ,ฟิลลิป ฟิชเชอร์ ,เซอร์จอห์น เทมป์เพลตัน , จอห์น เนฟฟ์

จอสร์จ โซรอส,แอนโทนี่ โบตัน

ซึ่งแต่ละคนที่กล่าวมาล้วนแล้วแต่เป็นสุดยอดนักลงทุนของโลกนี้

หนังสือเล่มนี้ได้สรุปใจความหลักๆของการลงทุนของเหล่าเซียนหุ้นเอาไว้อย่างดี

ผมแนะนำให้นักลงทุนทุกท่านหาซื้อมาอ่านครับ

หาซื้อได้ตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไปครับ

Comments (11)

ขอถามคุณ chinn เรื่องการลงทุนหน่อยครับ

ในงานหนังสือที่ผ่านมาได้มีแขกรับเชิญท่านนึงที่มากด้วยประสบการณ์ลงทุนและมีมุมมองการลงทุนที่ค่อนข้างน่าสนใจคือ คุณ chinn ที่ได้แชร์ประสบการณ์ให้ผู้เข้าร่วมฟังทั้ง 15 คนฟัง มีมุมมองของการใช้มาร์จิ้นและการมอง cashflow ของธุรกิจ ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก จึงได้ขออนุญาติคุณ chinn มาตั้งหัวข้อถามตอบ ในบล็อกนี้

1.สไตล์การลงทุนของคุณ chinn เป็น vi ผสม soros ใช่หรือไม่ เพราะจะเริ่มมองจาก worst case ก่อนว่าราคาหุ้นควรจะเป็นเท่าไหร่โดยคิดว่าถ้า cash flow ค่อนข้างแย่บริษัทจะสร้างเงินได้กี่ปีถึงจะคืนทุน เปรียบเหมือนแนวคิดว่าตัวเองอยู่ในสงครามแล้วต้องยิงคนอื่นจากใน บังเกอร์ (ไม่ตายแน่นอน) เช่น dtac ก็มองว่าปีนี้สร้าง ebitda ได้ 20000 ล้านและตอนที่คุณชินตีแตกแถว 50 บาทนั้น dtac มี cash 10000 ล้านมีเงินลงทุนอีก 11000 ล้าน และมีจำนวนอยู่ 2367 ล้าน ดูแล้วถ้านำเงินสดมาจ่ายปันผลก็น่าจะจ่ายได้ประมาณ 8.8 บาทต่อหุ้น แต่คุณชินคาดว่าเขาน่าจะจ่ายได้ในระดับ 16 บาท ไม่ทราบว่าพอจะแชร์วิธีการคำนวนในตอนนั้นให้ฟังได้ไหม

 

2.กรณีของ dtac นั้น margin of safety คือ ebitda ว่าจะทำได้เท่าไหร่และมีเงินปันผลต่อปีเท่าไหร่แต่การลงทุนควรมีตัวเร่งในกรณีนี้คือปันผลพิเศษถูกไหมครับ อยากถามว่าถ้าตอนนั้นไม่มีเรื่องปันผลพิเศษ dtac ก็จะไม่ซื้อใช่หรือไม่แม้จะมี cash flow ค่อนข้างแข็งแกร่งเพราะแนวคิดการลงทุนของคุณ chinn ต้องปลอดภัยและมีตัวเร่งถ้าปลอดภัยอย่างเดียวก็ไม่เล่น

 

3.คุณชินเคยเล่าว่ามีการตีแตก acl เนื่องจาก acl มีเงินสดต่อหุ้นมากกว่า market cap ค่อนข้างเยอะ แต่ว่าหุ้นแบงค์หรือ finance ก็มีเงินสดต่อหุ้นเกินราคาหุ้นอยู่บ่อยๆทำไมตอนนั้นถึงตัดสินใจซื้อ acl ล่ะครับ และตอนนั้นมอง fair value ไว้ประมาณเท่าไหร่ วิธีคิดคร่าวๆเป็นอย่างไร

 

4.การใช้มาร์จิ้นสไตล์คุณชินคือเริ่มจากการหาหุ้นที่ต้องแพ้ยากก่อนคือมี cash flow ที่สูงและอย่างน้อยหุ้นต้องมี upside 100% แล้วค่อยถัวเฉลี่ยขาขึ้นโดยการใช้มาร์จิ้นใช่ไหมครับ ก็คือมาร์จิ้นนั้นถ้าใช้ต้องถัวเฉลี่ยขาขึ้นเท่านั้นและหุ้นจะต้องมี upside ที่สูงมากพอควรเพื่อให้ราคาที่ทยอยถัวเฉลี่ยซื้อยัง undervalue เพราะถ้าซื้อโดยมี upside แค่ 20% คงถัวเฉลี่ยขาขึ้นไม่ได้เนื่องจากขึ้นไปแป๊ปเดียวก็ถึง fair value แล้ว

 

และขอขอบคุณคุณชินมากที่แชร์ความรู้ทางการลงทุนและวิธีคิดให้กับเพื่อนๆครับ

Comments (59)

ความสำคัญของ biz model และ brand

นักลงทุนหลายคนอาจจะชอบดูอัตราส่วนทางการเงินและวิเคราะห์ความถูกหรือความแพงของหุ้นจากอัตราส่วนทางการเงิน หรือตัดสินว่าบริษัทมีศักยภาพสูงจาก roa และ roe วันนี้ผมจะลองนำเสนอมุมมองเกี่ยวกับ biz model ของหุ้นว่าหุ้นที่ธุรกิจแตกต่างกันจะมี financial ratio ต่างกันอย่างไรบ้าง

 

-หลายคนชอบดู bv แล้วประเด็นคือ bv ใช่ในการลงทุนได้จริงไหมเช่น

หุ้นโรงแรม e มี pbv ถูกกว่าหุ้นโรงแรม m แบบนี้เราจะบอกว่าหุ้นโรงแรม e ถูกกว่า m ได้ไหม

ประเด็นคือ โรงแรม e ไม่ได้มีแบรนที่แข็งแกร่งอะไร แต่โรงแรม m มีแบรนเป็นของตัวเองและใช้แบรนนั้นในการรับจ้างบริหารและทำให้โรงแรม m สามารถเติบโตได้โดยที่ไม่ต้องลงทุนหนักเพราะการที่มีแบรนนั้นเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ในงบดุล แต่เป็นสิ่งที่ทำเงินทำทองให้บริษัทได้

ถ้าเราให้ pbv เท่ากันแบบนี้เราจะไม่ให้คุณค่าอะไรกับการที่โรงแรม m มีแบรนเป็นของตัวเองที่แข็งแกร่งแล้วนำไปใช้หารายได้เพิ่มได้เลยหรือ ถ้าเมีคนสองคนจะเขียนหนังสือ pocket book ขาย คนนึง no name กับอีกคนเคยเป็นตัวประกอบในภาพยนต์มี fan page ที่มีคนกด like เป็นหมื้่นคน ถ้าออก pocket book มาใครจะขายดีกว่า แล้วชื่อเสียงถือว่าจับต้องได้ไหม ไม่ได้เพราะเป็นสิ่งสมมุติแต่ใช้หารายได้ ได้ไหมคำตอบคือได้แล้วถ้าเราวิเคราะห์แนวโน้มอนาคตของคนที่จะสร้างรายได้เราควรจะรวมสิ่งที่ใช้หาเงินได้แต่จับต้องไม่ได้เข้าไปด้วยไหม

นอกจากนี้โรงแรม m ก็มีธุรกิจอาหารจานด่วนที่ไม่ใช่ cycle เหมือนโรงแรม e เป็นธุรกิจที่โตไปเรื่อยๆดังนั้น bv ของโรงแรม m คงไม่สามารถเปรียบเทียบกับโรงแรม e ที่เป็น pure hotel ได้

 

-หุ้นประกันชีวิตขายเบี้ยแล้วได้รับเบี้ยต่อเนื่องทบต้นขึ้นเรื่อยๆบริษัทมีเงินลงทุนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอย่างรวดเร็ว ถ้าเรามองว่า pbv สูง เราต้องถามว่าจริงๆ bv ของเขาคืออะไร bv ของเขาไม่ได้สะท้อนเบี้ยรับที่จะได้เพิ่มต่อเนื่องมาอีกหลายๆปีข้างหน้าซึ่งทำให้เขามีเงินลงทุนมากขึ้น แล้วแบบนี้เราควรดู bv เป็นประเด็นสำคัญไหม ถ้าเราบอกว่าสำคัญแสดงว่าเราตีมูลค่าของบริษัทที่หยุดผลิตเงินสดให้เรากับบริษัทที่ผลิตเงินสดต่อเนื่องให้เราได้เท่ากันงั้นหรือ

 

-ถ้าหุ้นตัวนึงเรารู้ว่าเขาซื้อของมาราคาแพงเขาไซฟ่อนเงินของ 100 บาทเขาซื้อมา 200 บาท bv เขาบันทึกของแพงกว่าจริงเยอะ ถ้าเราคิดว่า bv คือของจริง ทั้งๆที่เป็นของแพงเกินจริงเปรียบเหมือนมีคนเอาของ 1 บาทมาขายเราสองบาทเราจะซื้อไหม เราจะซื้อเพราะเขาบอกว่ามัน 2 บาท หรือเราจะไม่ซื้อเพราะเรารู้ว่าจริงๆมันแค่ 1 บาท

 

-roa ถ้าโรงพยาบาลแห่งนึงมี roa 15% กลับบริษัทรับจ้างผลิตแห่งนึงมี roa 15% เราคิดว่าเหมือนกันไหมถ้าเหมือนกันต้องถามว่าถ้าเราใช้เงิน 1000 ล้านแล้วเราสร้างกำไรได้ 150 ล้านเท่าบริษัทรับจ้างผลิตไหมถ้าได้ก็แสดงว่า roa แบบนี้ธรรมดาเลียนแบบกันได้ไม่ยาก แต่ถ้าเราใช้เงิน 10000 ล้านสร้างกำไรไม่ได้ 1500 ล้านเหมือนโรงพยาบาลแห่งนึงเพราะว่าไม่มีคนเชื่อถือโรงพยาบาลของเราเพราะโรงพยาบาลเราไม่มีชื่อเสียง ไม่มีหมอเก่งๆอยากมาทำงานด้วย แบบนี้ roa ของโรงพยาบาล 15% แสดงว่ามี premium มากกว่า 15% ของหุ้นรับจ้างผลิตถูกไหม

-บริษัทผลิตขนมปังแห่งนึงถ้าเราดูว่าเขามี roa เท่าไหร่ดูเผินๆก็อาจจะไม่มีอะไร แต่บริษัทเขาขายขนมปังได้ทั่วประเทศแสดงว่าระบบ logistic ของเขาต้องดีมากเพราะความสำคัญของขนมปังคือความสด ถ้าว่าถ้าเราลงทุน asset เท่ากับเขา เราจะมีระบบ logistic ดีเท่ากับเขาได้หรือ เราจะมีแบรนขนมปังที่ผู้บริโภคมักมองหาแบบเขาได้หรือ ถ้าไม่ได้แสดงว่าธุรกิจมีแบรน

-roe สูง หลายคนชอบหุ้น roe สูงๆแต่มีประเด็นอะไรบ้างที่ต้องดู บริษัทกลุ่มสิ่งพิมพ์แห่งนึงมี roe 30% ต่อเนื่องแต่ทุนของบริษัทไม่เพิ่มขึ้นเลยเพราะบริษัทจ่ายปันผลออกมาหมดแบบนี้กำไรไม่โตบริษัทก็มี roe ที่สูงต่อเนื่องได้ แต่บริษัทอื่นๆที่ปันผลต่อๆ ลองยกตัวอย่างแบบสุดโต่งไม่ปันผลเลย แล้วบริษัทมี roe 20% ต่อเนื่อง ถ้าแต่เดิมบริษัทมีทุนอยู่ 1000 ล้านและทำกำไรได้ 200 ล้านก็มี roe 20% ถ้าบริษัทไม่ปันผลเลยแล้วจะ maintain กำไรระดับ 20% ปีต่อไปบริษัทจะมีทุน 1200 ล้านและมีกำไร 240 ล้านเพื่อ maintain roe ระดับ 20% ถ้าบริษัท maintain ได้ 5 ปีลองคิดดูว่า wealth ผู้ถือหุ้นจะเพิ่มขนาดไหน

-บริษัทสำรวจและขุดเจาะมีไม่ต่ำ roe 20% ต่อเนื่องยาวนานและมี npm 30% ต่อเนื่องยาวนานทั้งๆที่เสีย tax ถึง 50% แสดงว่าบริษัทมี model ทางธุรกิจที่ดีเนื่องจากการขุดก๊าซธรรมชาติต้องได้สัมปทานบริษัทมีสัมปทานในอ่าวไทยและพม่าถามว่าถ้าราคาน้ำมันขึ้นอยู่ๆจะมีคนไปขุดก๊าซทีพม่าจะเกิดอะไรขึ้นคำตอบคงไม่พ่นโดนยิงเพราะก๊าซเป็นสำหรับของประเทศ ในทางกลับกันโรงกลั่นกับปิโตรเคมีถ้ากำไรดีก็จะมีการสร้างโรงงานซึ่งทำให้ไม่สามารถ maintain npm และ roe ที่สูงได้ แบบนี้เราจะเหมาว่าหุ้นที่สามกลุ่มนี้น่าลงทุนเท่ากันเพราะมีบริษัทแม่แบบเดียวกันได้หรือไม่

-ถ้าเราบอกว่าร้านสะดวกซื้อแห่งนึงมี pbv สูงจึงไม่น่าลงทุน แต่จริงๆแล้วร้านสะดวกซื้อมีอำนาจต่อรองสูงมากและไม่ต้องลงทุนหนักในการขยาายธุรกิจเพราะใช้การเช่า ร้านสะดวกซื้อเพิ่มมาร์จิ้นได้โดยการขายสินค้าแช่แข็งและแซนวิช และสามารถทำสินค้า house brand ได้เองและร้านสะดวกซื้อก็จะรู้ต้นทุนของสินค้าที่นำมาขายมากขึ้นแบบนี้มีอำนาจต่อรองสูงขึ้น แบบนี้ถ้าเราใช้เงินลงทุนในการทำร้านสะดวกซื้อบ้างโดยเงินลงทุนเท่ากับ bv ของร้านสะดวกซื้อเราจะทำกำไรได้แค่กี่% ของร้านสะดวกซื้อแห่งนี้

-ถ้าธุรกิจอิเล็กทรอนิกมี pbv ที่สูงเพราะบริษัทมี growth ต่อเนื่องหลายปีเราก็เลยคิดว่าธุรกิจนี้มี barry to entry ทั้งๆทีจริงๆแล้วมันไม่มี เหมือนหุ้นที่ผลิต pcba ที่อยู่ๆลูกค้าก็ถูก take over 5 รายโดยที่ลูกค้า 5 รายมียอดขายประมาณ 50% ของบริษัทหายไปเพราะคนที่มา take เปลี่ยนนโยบายไปซื้อสินค้าจากเจ้าอื่น แบบนี้ถ้าเราให้ premuim กับหุ้นตัวนี้สูงมากๆเราก็เจ็บหนักได้เพราะธุรกิจลักษณะนี้พึ่งพิงลูกค้าไม่กี่รายซึ่งไม่เหมือนบริษัทร้านสะดวกซื้อหรือขายขนมปังหรือโรงพยาบาล

 

-ธุรกิจอิเล็กทรอนิกและยานยนต์เป็นธุรกิจที่ต้องลงทุนหนักตลอดเวลาอย่างหุ้นผลิต pcba ที่เคยเป็นนางฟ้ามาก่อนระหว่างเติบโตก็ต้องมีการจ่าย stock dividend ซึ่งทำให้ dilute eps หรืออย่างหุ้นผลิตเพลาข้างจะลงทุนเครื่องจักรสำหรับผลิต model รถรุ่นใหม่ๆก็ต้องเพิ่มทุนผ่านการออก t-1 และหุ้นฉายา ดาวน้อย ก็เป็นหุ้นที่ไปเพิ่มทุนที่ราคาเกือบ peak เหมือนกัน ดังนั้น long-term ของบริษัทเหล่านี้แม้ว่าจะโตได้แต่ก็จะมี share เพิ่มขึ้นซึ่งต่างจากหุ้นเติบโตที่ใช้เงินลงทุนน้อยดังนั้นหุ้นแบบนี้ก็ควรจะมี pe ต่ำกว่า

 

จะเห็นได้ว่าถ้านักลงทุนเข้าใจ model ธุรกิจและเรื่องของแบรนแล้วน่าจะทำให้นักลงทุนเข้าใจการให้ค่า pe pbv ของตลาดมากขึ้น

Comments (11)

การนับถือคนอื่นเป็นจุดเริ่มต้นของความก้าวหน้า

ในการ์ตูนเรื่องใครว่าข้าไม่เก่งนั้นพระเอกชื่อ คิอิจิ ซึ่งเขาเป็นเพียงนักเรียน ม.ปลายที่อยากชกต่อยเก่ง เขาได้ฝึกวิชาต่อสู้จากพ่อของเขาวิชานี้คือ ศาสตร์ชี้เป็นชี้ตาย นาดะชินคาเงะ เขาได้ต่อสู้กับทุกรูปแบบ เช่น ยุโด มวยไทย มวยปล้ำ หมัดตรง ท่าล็อก ทุกๆครั้งที่เขาต่อสู้เสร็จไม่ว่าคู่ต่อสู้จะเป็นคนเลวแค่ไหนเขาจะจับมือกับคู่ต่อสู้แล้วบอกว่าขอบใจมากที่ทำให้เขาได้ก้าวหน้าจากการสู้

ต่อมาเขาได้เจอกับคู่ต่อสู้ที่มีฉายาว่าเครื่องจักรไร้พ่าย กัลเซีย กัลเซียนั้นเป็นคนที่เก่งเกินขอบเขตของมนุษย์หมัดของกัลเซียหนักมากพอที่จะทำให้กระเด็นไปไกลหรือสลบไปเลย ท่าล็อกของกัลเซียสามารถทำให้คนพิการได้ตลอดชีวิต

ดูไปแล้ว คิอิจิ ไม่น่าจะสู้กัลเซียได้แต่เมื่อได้สู้กันจริงๆ คิอิจิกับเอาชนะกัลเซียได้เพราะเขาใช้ทั้งท่ามวยไทยท่าจับล็อกที่ได้เรียนรู้จากการต่อสู้กับคนอื่นๆและนำมาประยุกต์ใช้กับตัวเขาเอง

 

คิอิจิได้พูดกับกัลเซียว่า ถ้านายเคารพในตัวคู่ต่อสู้นายก็จะได้เรียนรู้จากเขา แต่เพราะนายไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตาชีวิตของนายจึงไม่ก้าวหน้าไปไหน

ผมประทับใจคำพูดของคิอิจิมากและผมคิดว่าคำพูดนี้สะท้อนชีวิตนักลงทุนจริงๆด้วยเช่น การที่เราเล่นแต่หุ้นอาหารแล้วเราก็บอกว่าคนที่เล่นหุ้นสื่อสารได้กำไรเยอะๆมันฟลุ๊ก หรือบอกว่าพวกที่เล่นหุ้น commodity แล้วรวยเป็นพวกที่ชอบเสี่ยงโชค การคิดแบบนี้ดูเผินๆก็ไม่เสียหายอะไรเพราะตราบใดที่เราเล่นหุ้นอาหารแล้วกำไรเราอาจจะนึกว่าเราเก่งสุดแล้ว และคิดว่าคนที่กำไรจากหุ้นประเภทอื่นๆนั้นน่าจะฟลุ๊กเพราะทำไมกล้าเล่นหุ้นที่ pe แพงๆ หรือทำไมกล้าเล่นหุ้นที่รายได้ไม่แน่นอน คนที่คิดแบบนี้ก็เหมือน กัลเซีย ก็คือเก่งแล้วแต่ไม่เคยเคารพและเห็นใครอยู่ในสายตาทำให้รู้สึกว่าโลกนี้ตัวเองยิ่งใหญ่มากที่สุด สุดท้ายชีวิตก็ไม่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆเพิ่ม แต่คนที่มานั่งศึกษาว่าทำไมคนนี้เขาถึงกำไรหุ้นสื่อสารตัวนั้นเยอะจังเลย ตอนซื้อเขาคิดอะไรหน่อ เราลองถามเขาดูดีกว่า เราลองนัดเขาทานข้าวดูดีกว่าแล้วแลกเปลี่ยนไอเดียกัน การทำแบบนี้กลับทำให้เราได้เรียนรู้ว่าคนที่เล่นหุ้นในแบบที่ต่างจากเราเรา success เพราะอะไรและทำให้เราได้เรียนรู้มากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งเหล่านี้เริ่มมาจากการยอมรับในตัวผู้อื่นและยอมรับว่าเรายังมีเรื่องไม่รู้อีกมากมาย หลังๆนี้ผมไม่กล้าแม้แต่จะพูดว่าหุ้นตัวไหนเป็นหุ้นปั่นแม้แต่ตัวเดียว เพราะจริงๆแล้วผมอาจจะไม่รู้พื้นฐานมันจริงๆก็ได้ ถ้าผมเลือกที่จะพูดว่าหุ้นปั่นก็เท่ากับว่าผมปิดโอกาสที่ผมจะซื้อหุ้นตัวนั้นเพราะเอาป้ายไปปิดว่า ปั่น แล้วก็จบแล้วผมก็พูดต่อว่าทุกคนที่ซื้อหุ้นตัวนี้กำลังทำเรื่องที่เสี่ยงเกินไปเพราะกำลังเล่นหุ้นปั่นทั้งๆที่จริงๆแล้วพวกเขาอาจจะกำลังทำสิ่งที่ถูกต้องโดยที่เราเองต่างหากที่มองไม่เห็น

 

จะเห็นได้ว่าทัศนคติของเรานั้นแหละเป็นตัวจำกัดการเรียนรู้ของเรา ถ้าเรายอมรับในตัวคนอื่นและยอมรับว่าเราไม่รู้อะไรต่ออะไรอีกมากมายเหลือเกิน เราก็จะสามารถเรียนรู้เรื่องราวต่างๆได้อีกมากโข แต่ถ้าเราเป็นคนจิตใจคับแคบไม่ชอบเห็นคนอื่นก้าวหน้าไม่ชอบเห็นคนอื่นกำไรเราก็จะคิดไปหมดว่าคนอื่นที่กำไรมันฟลุ๊ก มันโชคดีเล่นหุ้นปั่นได้ตังค์มา ก็คิดแบบนี้ไปทั้งชีวิตและชีวิตนี้ก็ไม่ได้เรียนรู้อะไรจากคนเก่งๆคนอื่นเลย

 

ถ้าอยากก้าวหน้าขอให้เริ่มจากการยอมรับในตัวผู้อื่นครับ

Comments (12)

สิ่งที่ควรจะทำ(สำหรับนักลงทุนแนวพื้นฐาน)

ในชีวิตของคนเราจะต้องมีเรื่องที่ควรจะทำและไม่ควรจะทำเสมอ ถ้าใครทำในสิ่งที่ควรจะทำมากและทำในเรื่องที่ไม่สมควรจะทำน้อยที่สุดคนนั้นก็มีแนวโน้มจะประสบความสำเร็จมากกว่าคนอื่น สิ่งที่ควรจะทำในชีวิตก็เช่น การดูแลสุขภาพ การมีเวลาอยู่กับครอบครัว การหาหนังสือดีๆอ่านเพื่อพัฒนาตัวเอง การออกไปพบปะผู้คนเก่งๆเพื่อเสริมมุมมอง ส่วนเรื่องที่ไม่ควรจะทำก็เช่น การเอาเวลามานั่งนินทาคน นั่งใส่ใจเรื่องส่วนตัวของคนอื่น หรือเอาเวลามาคิดว่าถ้าสมัยก่อนชั้นขายหุ้นตัวนี้ไปได้รารานั้นป่านนี้รวยไปแล้ว หรือ ถ้าตอนนั้นชั้นซื้อหุ้นตัวนั้นได้ในราคานี้ชั้นก็รวยไปแล้วเหมือนกัน เรื่องแบบนี้ไม่ว่าจะคิดให้หัวระเบิดแค่ไหนก็ไม่เกิดประโยชน์

ในตลาดหุ้นนั้นมีการลงทุนหลายแนว ในที่นี้ผมขอพูดถึงมุมมองของนักลงทุนพื้นฐาน ผมคิดว่าการลงทุนแนวพื้นฐานนั้นจะให้ความสำคัญกับตัวหุ้นมากที่สุดมากกว่าทุกอย่าง ถ้าคุณเป็นนักลงทุนแนวพื้นฐานคุณก็จะไม่ออกมาบอกว่าคุณคิดว่าปีหน้า set จะเป็นอย่างไร จะดีหรือไม่ดี แน่นอนคนในตลาดหุ้นชอบฟังเรื่องพวกนี้ ผมเองแต่ก่อนก็เคยออกมาคาดการณ์ set แต่พอถึงจุดนึงผมก็เริ่มรู้ว่าจริงๆแล้วไม่มีใครรู้หรอกว่าตลาดจะเป็นอย่างไร ผมก็เลยเลิกคาดไปแล้ว มีนักลงทุนแนวพื้นฐานหลายๆคนที่ในช่วงตลาด sideway ช่วงปี 2004-2007 พอร์ตพวกเขาโต 6-8 เท่า ช่วงนั้น set ก็ไม่ใช่ขาขึ้นแต่พวกเขารวยขึ้นเยอะมาก พวกเขาไม่ได้ออกมาบอกว่าพวกเขาคาดการณ์ set ยังไง ในสมัยที่ผมเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับภาพใหญ่มากผมเคยไปตั้งคำถามกับ พี่ โจ ลูกอีสาน แห่งเว็บ tvi โดยถามว่าเขามีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับการลงทุนแบบ ศึกษาภาพกว้างก่อนแล้วค่อยเจาะรายบริษัท พี่โจ ตอบกลับมาว่าถ้าเราตามข่าวเศรษฐกิจมากๆก็จะรู้ได้ว่าเศรษฐกิจจะดี กลางๆ หรือ ไม่ดี ซึ่งเราไม่ต้องถึงขนาดไล่ล่าตัวเลขเศรษฐกิจเพราะ buffet กับ lynch ก็ให้เวลากับการติดตามตัวเลขเศรษฐกิจน้อยมากๆ ผมเองได้นำความเห็นของพี่โจมาใช้ในการลงทุนผมเอาเวลาไปดูหุ้นที่น่าสนใจผมก็เจอหุ้นที่ undervalue เรื่อยๆ แต่ถ้าตลาดแพงผมก็เจอหุ้น undervalue น้อย หรือถ้าเจอก็ต้องรอให้หุ้นตัวนั้นลงอีกหน่อยเพื่อเพิ่ม margin of safety ให้มากขึ้นแล้วค่อยลงทุน แต่ถ้าตลาดถูกมากๆผมจะเจอหุ้น undervalue เยอะมากจนตาลายไม่รู้จะเลือกตัวไหนดี จริงๆแล้วทุกๆปีจะมีหุ้นเทพที่ขึ้นมากกว่า 150-200% ตลอด(ยกเว้นปีวิกฤติเศรษฐกิจซึ่งตามสถิติจะมี 10 ปีครั้ง) ดังนั้นถ้าเราเจอหุ้นที่ undervalue หรือเป็นหุ้นเติบโตที่ไม่มีคนค้นพบเราก็ไม่โอกาสทำกำไรสูงๆในตลาด sideway ได้ เช่นในช่วงตลาด sideway รอบก่อนๆ คนที่มองการเปลี่ยน model ของ ticon ที่ขายโรงงานเข้า tfund ออกเป็นคนแรงๆก็จะสามารถทำกำไรจาก ticon ได้เป็นเท่าตัวในเวลาไม่นานเช่น คุณ invisible hand หรือคนที่มองหุ้นประมูลอย่าง ilink ออกว่ามีธุรกิจจัดจำหน่ายและวิศวกรรม ซึ่งในตอนที่ ilink ยังถูกแค่กำไรของธุรกิจจัดจำหน่าย pe ก็ไม่แพงแต่ถ้าปีไหนประมูลงานในส่วนธุรกิจวิศวกรรมได้มากๆกำไรก็พร้อมกระโดด คนที่ทำกำไรได้ก็เช่น คุณ naris คุณ yoyo หรือคนที่มอง oishi ออกตอนต่ำกว่า 20 บาทว่าตลาดให้ pe ต่ำเกินไปเพราะมองว่าชาเขียวน่าจะเป็นแฟชั่นแต่เมื่อตลาดพิสูจน์แล้วว่าชาเขียวไม่ใช่แฟชั่นหุ้น oishi ก็วิ่งขึ้นมาเกือบเท่าตัวในช่วงออกเคมเปน 30 ฝา 30 ล้านหรือกรณีของหุ้น pdi ที่เหมืองสังกะสีโดนพายุแคทรีน่าถล่มทำให้ stock เสียหายเป็นจำนวนมากและหุ้นก็ขึ้นเป็นเท่าตัวในเวลาไม่นานซึ่ง คุณหมอ สามัญชนก็สามารถทำกำไรจากตัวนี้ได้ในเวลารวดเร็ว หรือกรณีของพี่วิบูลย์ที่ได้กำไรจาก pttep เป็น 10 เท่าเพราะมองออกว่าบริษัทมีการ growth ของกำลังการผลิตต่อเนื่องและมี pe ที่ต่ำในขณะที่บริษัทมี five forced model ที่แข็งแกร่งมากหรือพี่โจ ลูกอีสาน ที่เข้าใจถึงธุรกิจประกันและเป็นคนแรกๆที่มองถึง model ของ bancasuurance ออกและมองออกว่าการขาดทุนของ scnyl ในปี 2004 เป็นเพราะต้องจ่ายค่าคอมเยอะในปีแรกแต่หลังจากนั้นจะค่อยมีเบี้ยรับเพิ่มขึ้นเสมอ หรือ พี่กาละมังแห่ง tvi ที่ทำกำไรจาก ums ได้ถึง 500% ในปีเดียวเพราะเห็นว่า pe ต่ำและมี dividend เยอะในขณะเดียวกันการที่น้ำมันราคาแพงก็สามารถชวนลูกค้าเปลี่ยน boiler ได้ง่าย ยังมีตัวอย่างอีกมากมายซึ่งผมไม่สามารถเขียนได้หมดแต่ผมกล้ายืนยันว่าในตลาด sideway นั้นจะมีหุ้นที่ทำผลตอบแทนสูงๆได้ตลอดและจะมีคนที่รวยจากหุ้นเหล่านี้ด้วย จะเห็นได้ว่าหลายๆครั้งโอกาสการลงทุนเกิดจากนักลงทุนคนอื่นยังมองตัวธุรกิจจริงๆของบริษัทไม่ออก หรือนักลงทุนไม่เข้าใจตัวธุรกิจเชิงลึกของหุ้นเหล่านี้ทำให้ผู้ที่ค้นพบหุ้นเหล่านี้ทำกำไรได้สูงในเวลาไม่นาน

ผมคิดว่าถ้าคุณเป็นนักลงทุนแนวพื้นฐานสิ่งที่คุณควรทำคือ การหาหุ้น undervalue หุ้น underestimate หุ้น change business model หุ้น growth ที่คนยังมองไม่เห็น หุ้นคอมโมดิตี้ที่คนไม่เข้าใจตัวธุรกิจหรือมีภัยธรรมชาติมาทำให้ stock เสียหายหุ้นประกันชีวิตที่เปลี่ยนช่องทางการขายและเติบโตเร็ว หรืออะไรต่างๆ ที่พี่ๆที่ลงทุนในแนวพื้นฐานรุ่นก่อนๆสามารถทำกำไรได้อย่างงดงาม ยิ่งคุณให้เวลากับการศึกษาหุ้นตัวใหม่ๆการอ่าน annual ฟัง clip oppday มากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีโอกาสมากขึ้นเท่านั้น ผมคิดว่านี้คือสิ่งที่ควรทำของนักลงทุนแนวพื้นฐาน

ถามว่าเศรษฐกิจ usa ยุโรป มีผลต่อราคาหุ้นไหม คำตอบคือมี คำถามต่อมาคือแล้วเราควรใส่ใจไหม ในความเห็นของผมคือ ผมว่ามันเป็นปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้เนื่องจากว่าเราไม่มีทางรู้ว่า europe ประชุมรอบนี้จะเพิ่มเงินกองทุนเท่าไหร่ กรีซจะรอดไหมในเดือน ธันวาคม อิตาลีจะเป็นรายต่อไปเมื่อไหร่ ผมว่าเราตามข่าวได้แต่เราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราไม่รู้ว่าผู้นำเยอร์มันนีจะตัดสินใจอย่างไร ผมเลยคิดว่าถ้าเราต้องเสียเวลามหาศาลในการติดตามข่าวแต่ผลลัพธ์คือเราควบคุมอะไรไม่ได้ เราควบคุมให้ eu เตะ กรีซออกไปจากกลุ่มเพื่อให้มันจบเร็วๆเพราะเราเบื่อความครุมเครือไม่ได้ หลังๆผมเลยไม่ค่อยติดตามข่าวพวกนี้มากแล้ว และผมคิดว่าการติดตามข่าวพวกนี้มากจนเกินไปและให้น้ำหนักของปัจจัยพวกนี้มากกว่าการศึกษาพื้นฐานหุ้นน่าจะเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำสำหรับนักลงทุนแนวพื้นฐาน

Comments (24)

จัดกิจกรรมมีทติ้งชมรมคนรักการอ่านครับ(เต็มแล้ว)

ผมคิดว่าชีวิตนี้เราจะเห็นว่ามีหนังสือน่าอ่านมากมายแต่ข้อเสียคือเราไม่มีเวลาอ่านมากพอ

ผมเลยอยากจัดกิจกรรมเกี่ยวกับการอ่านหนังสือการลงทุนแล้วมาทำมีทติ้งแบบผลัดกันเล่าเนื้อหา

โดยมีเงื่อนไขดังนี้

1.จะต้องเป็นหนังสือการลงทุุนต่างประเทศที่ยังไม่มีแปลเป็นไทย อย่างเช่น one up on wall street มีแปลเป็นไทยแล้วไม่เอา แบบนี้เป็นต้น

2.ไม่จำกัดศาสตร์ก็คือขอให้เกี่ยวกับการลงทุนเถอะ ทางตรงทางอ้อมได้หมด เช่น คุณอาจจะอ่านหนังสือเกี่ยวกับ ทิศทางค่าเงิน usa ,euro ของต่างประเทศแบบนี้ก็นำมาแชร์ได้ หรือจะเป็นการทำ arbitage ก็ได้ จะเป็น day trade ก็ได้ fundamental ก็ได้ พูดง่ายๆว่า open หมด ขอให้เกี่ยวกับการลงทุน

3.คุณจะต้องส่งสรุปคร่าวๆหนังสือมาทางเมล์ของผมก่อนเพื่อดูว่าข้อมูลของคุณเป็นไปตามกติกาหรือไม่ โดยส่งสรุปจะเป็น pwp หรือ word ก็ได้มาที่เมล์ honghardcore@hotmail.com

4.ผมจะนำหนังสือต่างประเทศไปพูดสองเล่ม เนื่องจากผมเป็นเจ้าบ้านก็จะพูดมากกว่าแขกรับเชิญโดยจะเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับหุ้น high growth ของ อเมริกาและอีกเล่มเป็นเล่มเกี่ยวกับการเทรด

ถ้าทำแล้ว work ก็อาจจะมีการนัดทุกๆ 3 เดือน ถ้ามีสมาชิก 15 คนก็เท่ากับว่าทุกคนจะอ่านหนังสือ 1 เล่มแล้วได้ฟังสรุปของอีก 14 เล่ม ซึ่งทำให้เรามีความรู้ทางการลงทุนที่กว้างมากขึ้นเยอะ โดยงานจะจัดวันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม เวลากับสถานที่จะส่งกลับไปให้กับคนที่อีเมล์สรุปหนังสือมาให้

ถ้ามีคนส่งมาครบแล้วก็จะขึ้นว่าเต็มแล้วนะครับ

โดยหนังสือที่มาการจองแล้วมีดังนี้ (คนที่ยังไม่ได้จองไว้กรุณาอย่าซ้ำเล่มนะครับ)

1.finding the next starbuck(hongvalue)

2.trend following(hongvalue)

3.super stock(new)

4.how to make 2000000 dollar(projectpawiz)

5.come into my trading room(poom)

6.invisible hand(march)

7.The Most Important Thing (pommobo)

8.the greatest trade ever(big)

9.how to trade stock(babycat)

10.investment valuation(shivek)

11.Secrets for Profiting in Bull and Bear Markets (settravuth)

12.More money than God(โบ๊ต)

13.The Little Book of Big Profits from Small Stocks(andy)

14.Great by Choice (todsawat)

15.The oil factor(np)

16.random walk(special guest)

17.game over(airazoc)

Comments (33)

link ผมบรรยายที่ตลาดหลักทรัพย์ความยาวหนึ่งชั่วโมงเศษครับ

http://www.dcs-digital.com/moneychannel/program.php?listid=12

clip ผมพูดที่ตลาดหลักทรัพย์ครับ ไปที่วันที่ 24 ธันวาคม ให้ลากเวลาไปที่หนึ่งชั่วโมงกับอีกหนึ่งนาทีจะเป็นช่วงที่ผมบรรยายครับ ภาพชัดมากๆครับ

Comments (8)

ธนูปักเข่า เฮ้ย หุ้นใหญ่ VS หุ้นเล็ก

เวลาที่คุณเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น จะเห็นได้ว่าบริษัทที่อยู่ในตลาดหุ้นมีขนาดเล็กและขนาดใหญ่ แล้วขนาดของบริษัทเกี่ยวอะไรกับการลงทุนด้วยล่ะ ผมจะเล่าให้ฟัง

 ก่อนอื่นต้องพูดถึงนิยามคร่าวๆของขนาดบริษัทก่อน ผมคิดว่าบริษัทขนาดใหญ่คือบริษัทที่อยู่ใน SET 50 ซึ่งแน่นอนว่า MARKET CAP ของหุ้นใน SET 50 ต้องเกิน 20,000 ล้าน ดังนั้นนี่คือบริษัทขนาดใหญ่แน่นอน ส่วนนิยามของผมบริษัทที่ไม่อยู่ใน SET 100 เป็นหุ้นเล็ก ส่วนหุ้นที่อยู่ใน SET 100 แต่ไม่อยู่ใน SET 50 ผมคิดว่าเป็นบริษัทขนาดกลาง ทีนี้เรามาพูดกันว่าขนาดของบริษัทเกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์หุ้นยังไง เรื่องแรกเลยคือ บริษัทขนาดใหญ่มักจะมีนักวิเคราะห์ทำบทวิเคราะห์ออกมาเยอะกว่าบริษัทขนาดเล็ก เนื่องจากลูกค้าส่วนมากก็เล่นหุ้นขนาดใหญ่ๆ ที่มีปริมาณการซื้อขายมาก ดังนั้นสำหรับนักลงทุนที่เพิ่งหัดวิเคราะห์หุ้นบริษัทขนาดใหญ่จะหาข้อมูลได้ง่ายกว่า

 ยิ่งถ้านักลงทุนได้บทวิเคราะห์ของต่างประเทศที่มี 20 – 30 หน้า มีเกี่ยวกับภาวะอุตสาหกรรม สถานการณ์แข่งขัน การประเมินมูลค่าหุ้น จุดอ่อนจุดแข็งของหุ้น จะทำให้นักลงทุนเข้าใจหุ้นได้ค่อนข้างลึก แต่หุ้นขนาดเล็กคงจะไม่ค่อยมีต่างประเทศทำข้อมูลเชิงลึก เพราะทำไปลูกค้าก็คงไม่ซื้อเนื่องจากปัญหาด้านสภาพคล่อง แต่ในทางกลับกันการที่มีคนติดตามเยอะก็ทำให้โอกาสที่จะค้นพบหุ้นเติบโตที่ยังไม่ค่อยมีคนรู้เป็นไปได้ยาก ในหนังสือรวยได้ด้วยหุ้นเล่ม 1 ของผมเคยกล่าวเอาไว้ว่า การลงทุนในหุ้นเติบโตที่คนยังไม่ค้นพบถือว่าน่าสนใจที่สุด เพราะว่าบริษัทลักษณะนี้เป็นม้ามืดประเภทเข้าเส้นชัยแบบไม่มีคนคาดถึง และอัตราต่อรองก็จะไม่สูงเท่าม้าเต็ง (ม้าที่คนส่วนใหญ่เชื่อว่ามีโอกาสเข้าวินสูง) ดังนั้นถ้าหุ้นแบบนี้เข้าวิน (กำไรดีเกินคาด) ก็จะทำให้คนแทงม้ารวยละไปเลย เนื่องจากอัตราต่อรองจะต่ำกว่าพวกม้าเต็ง พูดในมุมของการลงทุนก็คือ หุ้นที่ดีและมีคนรู้ว่าดีเยอะ (นักวิเคราะห์เขียน RESEARCH ถึงเยอะ มีการพูดกันตามรายการโทรทัศน์เยอะ) แม้ว่ามันจะดีจริง แต่ผู้ถือหุ้นก็ได้รางวัลน้อยกว่าเมื่อเทียบกับหุ้นขนาดเล็กที่ไม่ค่อยมีคนติดตาม

เมื่อ 4 – 5 ปีก่อน เคยมีหุ้นนำเข้าถ่านหิน เพื่อจำหน่ายให้กับโรงงานอุตสาหกรรมตัวหนึ่ง มี DIVIDEND YIELD ที่สูง มี ROE สูง มี GROSS MARGIN สูง แต่มี PE ที่ต่ำ เนื่องจากคนไม่ค่อยสนใจ เพราะว่าหุ้นตัวนี้ไม่มีเหมืองเป็นของตัวเอง และธุรกิจมีขนาดเล็ก ทำให้คนไม่มั่นใจว่าจะแข่งกับหุ้นถ่านหินตัวอื่นที่มีเหมืองได้อย่างไร ต่อมาพอหุ้นถ่านหินตัวนี้ทำกำไรได้ดีเกินคาด และคนเริ่มเห็นมากขึ้น หุ้นตัวนี้เลยขึ้นไปถึง 500% ในเวลาปีเดียว ผลตอบแทนระดับนี้ถือว่าทำให้คนรวยได้เลย ผลตอบแทนระดับนี้เท่ากับคนที่ฝากเงินแล้วได้ดอกเบี้ยปีละ 1.5% หลายร้อยปีทีเดียว (เป็นไปไม่ได้เพราะอายุไม่ยาวขนาดนั้น) ในช่วงเวลานั้นหุ้นถ่านหินขนาดใหญ่ที่มีเหมืองเป็นของตัวเอง มีราคาเพิ่มขึ้นเกือบ 200% เหตุผลน่าจะเป็นเพราะว่าหุ้นนำเข้าถ่านหินตัวนั้นถือเป็นม้ามืดที่ไม่มีคนติดตามเท่าไหร่ ( ดูจากค่า PE ที่ต่ำกว่าและ DIVIDEND ที่สูงกว่า ) ผมคิดว่าไม่น่าจะมีกฎตายตัวว่าหุ้นขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ดีกว่า ผมคิดว่ามันขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของผู้ลงทุนมากกว่า เช่น นักลงทุนมือใหม่ที่ยังไม่สามารถวิเคราะห์หุ้นด้วยตัวเองได้ น่าจะเหมาะกับหุ้นขนาดใหญ่ เนื่องจากสามารถอ่านข้อมูลจากบทวิเคราะห์ เพื่อให้เห็นภาพได้มากขึ้น แต่ถ้าเป็นนักลงทุนที่มีประสบการณ์สูงและวิเคราะห์หุ้นได้ลึก น่าจะเหมาะกับหุ้นขนาดเล็กมากกว่า เพราะถึงแม้จะไม่มีบทวิเคราะห์ นักลงทุนก็สามารถวิเคราะห์ได้ด้วยตัวเอง ประเด็นต่อมาคือ ขนาดพอร์ตของนักลงทุน ถ้านักลงทุนพอร์ตใหญ่ (มีเงินมากกว่า 100 ล้าน) การซื้อหุ้นตัวเล็กๆจะทำได้ลำบาก เพราะปริมาณซื้อขายหุ้นตัวเล็กถือว่าน้อยมาก แต่ถ้าเป็นคนพอร์ตเล็กน้อย ( 1 แสน – 1 ล้าน ) หุ้นตัวใหญ่หรือหุ้นตัวเล็กก็ไม่น่าต่างกันมาก มองในมุมนี้นักลงทุนพอร์ตเล็กจะได้เปรียบคนพอร์ตใหญ่ ประเด็นต่อมาคือ บริษัทขนาดเล็กน่าจะเติบโตได้มากกว่าบริษัทขนาดใหญ่ ประเด็นนี้มีส่วนที่จริงและไม่จริง ส่วนที่จริงก็คือ ในเชิงตัวเลขแล้วบริษัทที่มียอดขายระดับ 1,000 ล้าน ถ้ามีการบริหารจัดการที่ดี มีการจับตลาดที่ถูกต้อง การที่บริษัทจะเพิ่มยอดขายให้โตเท่าตัวภายใน 3 ปี ก็เป็นไปได้ อย่างกรณีของบริษัทนำเข้าถ่านหินในสมัย 4 – 5 ปีก่อน ยอดขายของบริษัทในปี 2551 โตกว่าปี 49 มากกว่า 100% ด้วยซ้ำ

แต่ถ้าเป็นบริษัทที่มียอดขาย 40,000 ล้าน การจะเติบโตได้เป็นเท่าตัวย่อมไม่สามารถใช้เวลาเพียง 2 – 3 ปี เพราะบริษัทจะขายของให้ใครล่ะ เพิ่มขึ้นตั้งหลายหมื่นล้าน เราอาจเห็นบริษัทขนาดใหญ่ใช้วิธี TAKE OVER เหมืองที่ต่างประเทศแทน ( วิธีนี้ก็เพิ่มยอดขายได้เร็วในเวลาสั้นๆ ) ซึ่งบริษัทขนาดเล็กจะมีทุนน้อยกว่าคงไม่สามารถไล่ TAKE OVER ได้เยอะเหมือนบริษัทขนาดใหญ่ ข้อสรุปของผมคือ บริษัทขนาดเล็กมีความได้เปรียบเรื่องการเติบโตที่ทำได้ง่ายกว่า แต่เสียเปรียบในเรื่องขนาดของทุน ที่ไม่สามารถไปไล่ TAKE OVER ใครต่อใครได้ และบริษัทขนาดใหญ่ยังสามารถระดมทุนด้วยการออกหุ้นกู้ได้ แต่บริษัทเล็กทำไม่ได้ เพราะคนไม่เชื่อถือมากพอ

Comments (3)

เชิญเพื่อนๆไปฟังเคล็ดลับการลงทุนได้ฟรีที่ตลาดหลักทรัพย์ครับ



 

 

วันพุธที่ 14 ธันวาคม ผมได้รับเกียรติจากห้องสมุดตลาดหลักทรัพย์ให้ไปเปิดตัวหนังสือของผม จึงอยากเรียนเชิญพี่ๆเพื่อนๆทุกท่านที่สนใจการลงทุนครับ

ในช่วงต้นผมขอพูดถึงที่มาของหนังสือของผมและหลักการในหนังสือ

และหลังจากนั้น

ผมได้เตรียมเนื้อหาไปพูดไม่ให้ซ้ำกับงานก่อนๆนะครับ โดยเนื้อหาที่จะพูดผมทำไว้คร่าวๆดังนี้ครับ

1.วิธีการหาข้อมูลชั้นเยี่ยมโดยไม่มีค่าใช้จ่ายที่รายย่อยไม่ควรพลาดทำได้อย่างไร

2.วิธีการเก็บข้อมูลของนักลงทุนว่าควรมีการจัดเก็บอย่างไรให้มีประสิทธิภาพและง่ายต่อการค้นหา

3.วิธีการอ่านงบการเงินเพื่อที่จะทำประมาณการกำไรของหุ้นใน sector ต่างๆ

4.การเข้าใจ model ธุรกิจเพื่อเข้าใจกลไกการ valuation หุ้นผ่าน dcf และ pe

5.การบริหารจิตใจเพื่อการลงทุนว่าเราควรจะใช้ชีวิตแบบไหนเพื่อให้มีแรงกดดันทางการลงทุนให้น้อยที่สุด

6.เศรษฐศาสตร์กับการลงทุนว่าภาพใหญ่ๆของเศรษฐกิจมีผลต่อการลงทุนมากแค่ไหน

7.วิธีคิดการซื้อหุ้นในภาวะวิกฤติว่าทำอย่างไรจะกล้าซื้อหุ้นที่ถูกมากๆโดยไม่ปล่อยให้ความกลัวจากนายตลาดมาครอบงำ

8.ความสำคัญของ five force model กับการวิเคราะห์หุ้นด้วยปัจจัยเชิงคุณภาพว่าสามารถประยุต์ five force กับตัวเลขทางบัญชีเพื่อการลงทุนได้อย่างไร

9.case study หุ้น 10 เด้งที่ไม่มีในหนังสือ

10.เปิดให้ถามตอบตอนช่วงท้าย

11.มีให้ผู้เข้าฟังร่วมตอบคำตอบโดยมีการแจกหนังสือ(สำหรับคนซื้อแล้วก็เอาหนังสือไปให้เพื่อนได้)

 

 

เรียกว่างานนี้ผมเตรียมแก้ผ้า(เปิดเผยเคล็ดลับที่มีทั้งหมด)ในงานนี้เลย ไม่มีค่าใช้จ่ายนะครับ หลังจากจบงานนี้ผมคงหมดมุขไปอีกนานมาก 555

รอบนี้เริ่มงานตอน 18.00 นะครับเนื่องจากทางห้องสมุดมารวยเห็นว่าหลายท่านที่ทำงานเลิกตอนเย็นอาจจะมาตอน 17.30 ไม่ทัน ต้องขอบคุณห้องสมุดมารวยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

Comments (46)

หลักการของ jesse livermore ตอนที่ 2

หลักการข้อต่อมาของ JESSE LIVER MORE คือ ให้เราค้นหาผู้นำหรือ follow leader เขาบอกว่านักลงทุนไม่ควรสนใจหุ้นเป็นจำนวนมากตัวเกินไป เพราะว่านักลงทุนไม่น่าที่จะดูแลหรือเข้าใจพฤติกรรมของหุ้นได้มากพอ เขาบอกว่าดูหุ้นน้อยตัวดีกว่า และถ้าหุ้นที่คุณดูอยู่ไม่กี่ตัว คุณยังไม่สามารถทำเงินจากมันๆได้ คุณก็ไม่สามารถทำเงินจากหุ้นตัวอื่นได้หรอก ผมเองเคยอ่านบทสัมภาษณ์ของเซียนหุ้นในประเทศไทยท่านหนึ่ง ท่านบอกว่าจะเล่นหุ้นให้รวยต้องมีหุ้นในดวงใจ ใครไม่มีหุ้นในดวงใจรวยยาก ผมคิดว่าสิ่งที่เซียนหุ้นท่านนี้พูด จริงๆแล้วก็เหมือนกับที่ JESSE LIVER MORE บอก จากประสบการณ์ส่วนตัวของผม หลายคนที่รวยหุ้นขึ้นมาจะมีหุ้นที่สร้างเนื้อสร้างตัวให้กับเขาไม่กี่ตัว ทั้งๆที่ทั้งชีวิตเขาเหล่านั้นเคยเล่นหุ้นไม่รู้กี่ตัว ผมลองคิดเหตุผลดูก็คิดว่าไม่น่าแปลกอะไร เพราะว่าหุ้นที่จะขึ้น 5 – 10 คงไม่ได้มีเยอะและมีบ่อยๆที่หลายคนรวยขึ้นมา ก็เพราะว่าไปจับโดนหุ้นเหล่านี้เข้า แล้วถือทนไปขายได้ราคาดีด้วย หรือหลายคนเล่นมาร์จิ้นอีกต่างหากเลยทำให้เงินลงทุนโตเร็วมาก แต่เนื่องจากหุ้นที่จะขึ้นได้ขนาดนั้นมีค่อนข้างน้อยตัวทำให้ชีวิตนักลงทุนเจอหุ้นเหล่านั้นน้อยเมื่อเทียบกับหุ้นทั่วๆไป ดังนั้น หุ้นตัวอื่นนอกจากหุ้นพวกนั้นก็เลยไม่ค่อยสร้างผลกำไรอย่างเป็นกอบเป็นกำให้กับผู้ลงทุนเท่าไหร่ โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าถ้านักลงทุนเลือกหุ้นที่ดูแล้วน่าสนใจออกมาได้ประมาณ 3 – 4 ตัวแล้วก็ติดตามหุ้น 3 – 4 ตัวนั้นเป็นพิเศษทั้งในรูปแบบของพื้นฐานและเทคนิคแล้ว น่าจะดีกว่าการตามหุ้นแบบสะเปะสะปะ 30 – 40 ตัว เพราะการที่เราตามหุ้นทีเดียว 30 – 40 ตัวคงเป็นการยากที่เราจะติดตามได้อย่างใกล้ชิด ไม่เคยมีกฎในตลาดหุ้นว่าคนที่จะรวยหุ้นจำเป็นที่จะต้องเข้าใจหุ้นเยอะๆ ต้องรู้จักหุ้นไม่ต่ำกว่า 100 ตัว ถ้านักลงทุน 2 คน ลงทุนในตลาดหุ้น 5 ปี แล้วเงินลงทุนโต 10 เท่าตัวคงไม่มีปัญหาถ้าคนแรกกำไร 10 เท่าจากหุ้นเพียง 2 ตัวในเวลา 5 ปี แต่อีกคนกำไรจากหุ้น 40 ตัว ผมว่าการทำความเข้าใจและติดตามหุ้นไม่กี่ตัวน่าจะเป็นการง่ายกว่าการตั้งเป้าจะรู้จักหุ้นลึกๆ และเยอะตัว

ผมขอทิ้งท้ายคำพูดสั้นๆ ของ JESSE LIVER MORE เอาไว้อีกสัก 2 – 3 คำพูด เขากล่าวว่า “จงอย่าใช้เวลาไปกับการคาดการณ์ว่าหุ้นจะเป็นยังไง แต่จงคิดว่าถ้าหุ้นไปทางไหนคุณจะทำอะไร” และอีกคำพูดหนึ่งคือ “เมื่อคุณค้นพบทางของตัวเอง เล่นบนวิธีของตัวเอง อดทน และเฝ้ามองสัญญาณอันตราย เมื่อนั้นคุณจะพัฒนาความสามารถในการเทรดของตัวคุณเอง”

มีคำกล่าวหนึ่งที่นักเก็งกำไร MARK DOUGLAS ได้กล่าวไว้ซึ่งผมคิดว่าเป็นคำกล่าวที่สุดยอดมาก เขากล่าวว่า “หากว่านักเล่นหุ้นคนใด ไม่สามารถที่จะลบความรู้สึกกระเทือนใจจากการสูญเสียกำไรบางส่วนกลับไปสู่ตลาดแล้วล่ะก็ เขาก็ไม่สามารถเรียกว่านักเล่นหุ้นที่ดีได้ – Mark Douglas” ผมคิดว่าคำกล่าวนี้ค่อนข้างสำคัญมาก ถ้าลองถามว่านักลงทุนที่จะได้กำไรจากหุ้นตัวไหนเยอะๆ ระหว่างทาง นักลงทุนจะต้องเจอกับการแกว่งของราคาหุ้นทั้งนั้น เซียนหุ้นที่ประสบความสำเร็จสูงมากคนหนึ่ง เขาเคยบอกว่าหลักการขายหุ้นของเขาคือ ขายเมื่อ rebound แต่ไม่มี new high  ถ้าให้พูดให้เห็นภาพ ก็คือ สมมุติหุ้นตัวหนึ่งอยู่ราคา 100 บาท ขึ้นไป 120 บาทและร่วงลงมา 114 และอีกไม่นานหุ้นก็ขึ้นเลย 120 บาท อันนี้คือพฤติกรรมหุ้นขาขึ้นเพราะขึ้นแรง ย่อไม่นานมี new high แล้วหุ้นก็ทำรูปแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงราคา 250 บาท พอถึง 250 บาทหุ้นร่วงลงมา 230 แล้วหุ้นขึ้นกลับไปแค่ 242 บาท แล้วลงมาหลุด 230 บาท แบบนี้คือตอนหุ้นลงไป 230 แล้วเด้งกลับขึ้นมา 242 หุ้นไม่สามารถทำ new high ได้ด้วยการทะลุ 250 แต่หุ้นลงมาหลุด 230 แบบนี้ค่อนข้างชัดว่าหุ้นตัวนี้ได้เปลี่ยนพฤติกรรมการเทรดไปแล้ว จากที่ปรับฐานแล้ว new high เปลี่ยนเป็น rebound แต่ไม่มี new high ถามว่าเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับคำพูดของ MARK DOUGLAS เกี่ยวมากเลยทีเดียว การที่เราจะขายหุ้นให้ได้กำไรเยอะมากๆ ในมุมของนักเทรดหุ้นสาย trend follow เราจะต้องปล่อยให้หุ้นวิ่งให้ไกลที่สุด หุ้นที่แสดงความแข็งแกร่งออกมา เราจะต้องถือหุ้นตราบเท่าที่มันยังเป็นหุ้นแข็งแกร่ง และขายเมื่อหุ้นเริ่มแสดงพฤติกรรมว่า มันเริ่มไม่แข็งแกร่งอีกต่อไป การทำแบบนี้จะทำให้เวลานักลงทุนซื้อหุ้นถูกตัว นักลงทุนจะได้กำไรเยอะมากพอก่อนแล้วค่อยขายหุ้น ต่างจากนักลงทุนที่มองไม่ออกว่าหุ้นที่ตัวเองถืออยู่นั้นกำลังแสดงความแข็งแกร่งออกมาอย่างเห็นได้ชัด การรับขายหุ้นที่แสดงความแข็งแกร่งออกมา อาจทำให้นักลงทุนได้กำไรเพียงแค่ 10 – 15 % ในขณะที่คนที่ถือหุ้นต่อมีโอกาสทำกำไร 100%

หรือมากกว่า แต่คนที่จะใช้แนวคิดแบบนี้จะต้องเข้าใจว่า คุณจะไม่มีทางขายได้จุดสูงสุดเพราะว่าเวลาหุ้นขึ้นแรงๆ คุณจะต้องยังไม่ขาย เนื่องจากหุ้นยังแสดงออกว่ามันแข็งแกร่ง แต่เมื่อหุ้นเริ่มไปไม่ไหวและร่วงลงมา โดยอาการตอนที่หุ้นลงแสดงออกว่ามันไม่แข็งแกร่งเหมือนเดิมแล้ว คุณค่อยขายสั่งวิธีนี้ คุณจะต้องยอมกำไรลดลงบ้าง เพื่อดูว่าหุ้นได้เปลี่ยนพฤติกรรมไปแล้ว แต่โดยรวมแล้วคุณขายหุ้นได้ต่ำกว่าจุดสูงสุดไม่มาก แล้วคุณจะลดอาการขายหมู (ขายเร็วเกินไป) ได้ค่อนข้างมาก การที่คุณเสียใจเมื่อกำไรบางส่วนของคุณลดลงไป จะทำให้คุณอยากขายหุ้นตอนหุ้นขึ้นแรงๆ และทำให้คุณอดที่จะได้กำไรตัวใหญ่ ดังนั้น MARK DOUGLAS ถึงได้พูดว่า นักลงทุนที่ดีต้องไม่เสียใจที่กำไรลดลงมา นักลงทุนควรคิดว่าการที่ยอมกำไรลดบ้างต่างหากที่ทำให้รวยกว่าการพยายามรักษากำไรเอาไว้ทุกบาททุกสตางค์ จริงๆแล้วเรื่องของความแข็งแกร่งนี้เป็นข้อมูลที่สำคัญของเหล่าเทรดเดอร์เลยทีเดียว  JESSE LIVER MORE เคยกล่าวว่า ถ้ามีคนมาบอกเขาว่าหุ้นตัวไหนน่าสนใจ  สิ่งที่เขาจะทำคือเขาจะยืมหุ้นมาช็อต (ยืมหุ้นคนอื่นมาขายก่อน โดยที่ตัวเองยังไม่มีหุ้น แล้วเดี๋ยวค่อยซื้อหุ้นนำไปคืนคนที่ยืมมา) เขาจะ

ช็อตหุ้นจำนวนมากเพื่อดูว่าหุ้นแข็งแกร่งหรือไม่ ถ้าขายตั้งเยอะแต่หุ้นไม่ลงแสดงว่าหุ้นมีความต้องการมาก JESSE จะปิดช็อต (ซื้อหุ้นคืน) และทำการซื้อหุ้นตัวนั้นทันที เพราะเขาได้ข้อมูลมาแล้วว่าหุ้นตัวนี้แข็งแกร่ง การขาดทุนเพียงไม่กี่ช่อง และค่า commission ถือว่าถูกสำหรับ JESSE เมื่อเทียบกับการทดสอบว่าหุ้นแข้งแกร่งไหม นอกจากนี้นักเทรดที่ทำงานได้สูงมากยังบอกอีกว่า ให้คุณพุ่งความสนใจไปที่ตลาดหุ้นไม่ใช่เงินในพอร์ต ผมคิดว่านี่เป็นคำแนะนำที่ดีมาก การที่คุณมัวแต่สนใจเงินในพอร์ตของคุณ จะทำให้คุณไขว้เขวออกจากสิ่งที่ควรทำในตลาดหุ้น อย่างเช่นถ้าหุ้นที่คุณถืออยู่เริ่มแสดงออกว่าไม่แข็งแกร่งอีกต่อไป แต่ตัวคุณยังรู้สึกว่าอยากได้กำไรมากกว่านี้ อยากให้พอร์ตลงทุนโตกว่านี้ก่อนค่อยขาย ซึ่งนั่นจะทำให้คุณหลงประเด็น ถ้าหุ้นของคุณเริ่มมีสัญญาณอันตราย คุณก็ควรจะขาย ซึ่งมันไม่เกี่ยวกับว่าเงินในพอร์ตของคุณมีเงินลงทุนเท่าไหร่ ในมุมกลับกัน การที่คุณเพิ่งขาดทุนติดๆกันมา 2 – 3 ครั้ง อาจทำให้คุณกลัวที่จะเสียเงินอีก พอคุณเจอหุ้นน่าซื้อคุณกลับไม่กล้าซื้อ เพราะคุณกลัวว่าจะขาดทุนเพิ่มอีก ทำให้คุณพลาดโอกาสทำเงินไป จะเห็นได้ว่าถ้านักลงทุนทุ่มสมาธิไปที่ตลาดหุ้นแทนที่จะเป็นเรื่องเงินในพอร์ตตัวเอง นักลงทุนมีแนวโน้มที่จะทำผลงานได้ดีกว่า

Comments (19)

หลักการของ JESSE LIVER MORE ตอนที่ 1

ขอเปลี่ยนอารมณ์มาคุยเรื่องนักเทรดบ้าง เชื่อว่าแนวเทรดหลายคนคงเคยอ่านตำนวนของ livermore แต่แนวทางพื้นฐานอาจไม่เคยอ่านเลยลองเขียนให้อ่านกัน

 

 

 

นักเทรดหุ้นระดับโลกท่านหนึ่ง ก็คือ JESSE LIVER MORE เห็นว่าหลายๆแนวคิดค่อนข้างน่าสนใจ เลยอยากนำมาเล่าให้เพื่อนๆฟัง แนวคิดที่สำคัญของ JESSE คือ  1. จงรอการ confirm ของตลาดก่อนตัดสินใจ การรอให้ตลาดเลือกข้างอย่างที่คุณคิดแล้วคุณค่อยลงมือ การทำแบบนี้จะเป็นการลดความเสี่ยงของนักเทรดหุ้นได้ เช่นคุณคิดว่า XX เป็นหุ้นที่ดี คุณคิดว่า XX ควรจะมีราคาหุ้นละ 60 บาท ในขณะที่ตอนนั้น XX มีราคาหุ้นละ 40 บาท

ถ้าคุณซื้อ XX ไปที่ 40 บาทและรอให้หุ้นขึ้นไปที่ 60 บาท แบบนี้คือการที่คุณไม่รอให้ตลาด confirm ว่า XX เป็นหุ้นที่น่าสนใจ แต่คุณคิดว่าเดี๋ยวคนในตลาดจะต้องคิดเหมือนคุณ ใครๆก็ต้องมารุมซื้อ XX จน XX ขึ้นไปที่ 60 แต่ปรากฏว่าหลังจากที่คุณซื้อ XX ไปแล้ว 3 เดือน ราคาหุ้นก็ยังอยู่ที่ 40 ต่อไปแทบไม่มีใครเข้ามาซื้อขายเลย แบบนี้เรียกว่าคุณยังไม่ได้รอการ confirm จากตลาด การที่หุ้นจะขึ้นได้ต้องมีคนที่มีเงินเยอะหรือคนส่วนใหญ่ที่คิดว่ามีดีถึงจะมาซื้อหุ้นขึ้นไป แต่การที่คุณคิดของคุณว่าหุ้น XX เป็นหุ้นดี ถ้าคนอื่นในตลาดหุ้นไม่มีใครเห็นด้วยกับคุณเลย ก็เลยไม่มีคนมาซื้อหุ้นต่อจากคุณ ผลก็คือคุณถือหุ้นตัวนี้เท่าไหร่หุ้นก็ไม่ขึ้น ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า มุมมองของคุณจะไม่มีค่าถ้าไม่มีคนอื่นในตลาดเห็นด้วยกับคุณ ทีนี้แบบไหนถึงเรียกว่าตลาด confirm ก็เช่นหุ้น XX อยู่ที่ 40 บาท แล้วอยู่วันหนึ่งมันขึ้นไปที่ 43 บาท หรือราคาปรับขึ้น 7.5% นี้แสดงว่ามีคนเริ่มสนใจหุ้น XX แล้ว ราคาหุ้นถึงปรับขึ้นไปได้วันเดียวตั้ง 7.5% ทีนี้คุณรอดูต่ออีกวัน XX เปิดมาราคาลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 42.50 (เป็นธรรมดา) ที่หุ้นขึ้นแรงๆวันเดียวแล้วจะมีคนขายทำกำไรออกมา แต่อยู่ๆก็มีคนมากว้านซื้อ XX จนราคาขึ้นไป 44 บาท และมีคนพยายามขายทำกำไร แต่ปรากฏว่าขายยังไงก็ไม่หลุด 44 บาท เพราะพอมีคนโยนซ้ายไปที่ 44 ที่เป็นราคาฝังบิดส์ พอบิดส์ใกล้หมด อยู่ๆมีคนเติมบิดส์ คุณนั่งดูหน้าจออยู่แล้วถึงกับอุทานว่า “โหบิดส์ตลอดเลย โยนยังไงก็ไม่หลุด”  ในตอนนั้นเองคุณเลยตัดสินใจซื้อหุ้น XX ที่ 44 บาท เพราะว่าคุณมองว่าตลาดได้ช่วย  confirm แล้วว่ามีคนสนใจและเห็นค่าของ XX ไม่งั้นใครจะมาซื้อหุ้นที่ขึ้นตั้งเยอะ แถมมีคนรุมขายใส่ หุ้นก็ไม่ลงอีก คุณก็เลยซื้อ XX เข้าไปในตอนนั้น และหลังจากนั้นไม่นานหุ้นก็ขึ้นไปที่ 60 บาท จริงๆแล้วหลังจากที่คุณซื้อตอน 44 หุ้นอาจจะไม่ขึ้นหรืออาจจะขึ้นเลยก็ได้ แต่สิ่งที่คุณทำคือรอให้หุ้นมีการแสดงออกมาก่อนว่ามีคนต้องการมัน และถ้าสุดท้ายหุ้นไปถึงราคา 60 บาทจริง  การที่คุณซื้อแพงขึ้น 4 บาท จาก 40 เป็น 44 แต่คุณถือหุ้นสั้นกว่าเพราะแบบแรกคุณซื้อไปก็ยังไม่มีใครในตลาดเล่นกันเลย กว่าเขาจะมาเล่นกันคุณต้องรอตั้งหลายเดือนมากๆ สมมุติว่าคุณรอ 3 เดือนแล้วหุ้น XX ค่อยขึ้น แต่อีกคนหนึ่งรอให้ตลาด confirm ก่อนว่าหุ้นมีคนสนใจแล้วค่อยซื้อ คุณอาจจะซื้อแพงกว่านิดหน่อย แต่คุณรอแค่เดือนเศษๆเอง หุ้นที่ขึ้นจาก 44 ไป 60 ดังนั้นถ้าเทียบแล้วคุณได้กำไรมากกว่า เพราะคุณถือหุ้นแต่แล้วหุ้นขึ้นเลย แต่อีกคนต้องรอจนรากแทบงอกกว่าหุ้นจะขึ้น ผมคิดว่านักลงทุนแนวเทคนิคและกลุ่มที่นั่งเฝ้าหน้าจอคงนึกถึงอาการที่ผมอธิบายมาได้เป็นอย่างดี (จบเรื่องแรกแล้วนะครับ) มาลองดูปรัชญาการเทรดหุ้นข้อต่อไปของ JESSE กันดีกว่า

แนวคิดข้อต่อมาของ JESSE LIVER MORE  คือเมื่อคุณเจอสัญญาณร้าย อย่าเถียง อย่าถาม ให้หนี ถ้าทุกอย่างโอเคค่อยกลับมาซื้อใหม่ก็ยังได้ เปรียบเหมือนถ้าคุณเดินอยู่บนรางรถไฟ แล้วคุณเห็นลางๆว่าเหมือนกับมีรถไฟกำลังพุ่งมา สิ่งที่คุณควรทำคืออะไร ระหว่างการกระโดดหนีออกจากรางทันที หรือว่ายืนอยู่บนรางต่อเพื่อดูให้แน่ๆว่ารถไฟมาจริงไหม ผมว่าร้อยละร้อยเลือกที่จะกระโดดออกมาจากรางรถไฟ เพราะถ้าคุณรอดูว่ารถไฟมาจริงไหม คุณอาจจะหนีออกจากรางไม่ทัน ผมเคยพูดคุยกับนักลงทุนหลายท่านในตลาดหุ้น พวกเขาบอกว่าเวลามีสัญญาณแปลกๆ เขาหนีก่อนเลย เท่าที่ผมรู้มา เขาก็แทบไม่เคยขาดทุนหนักๆเลย เพราะมีอะไรไม่ชอบมาพากลพี่แกขายทันที  แต่การหนีออกจากตลาดหุ้นนั้นก็ไม่ควรทำบ่อยเกินไปจนเข้าข่ายกระต่ายตื่นตูม เพราะการซื้อๆขายๆ มีต้นทุน ค่า commission และคนร้อยละ 99% ถ้าขายหุ้นออกมาแล้ว และหุ้นที่ขายออกขึ้นต่อแรงๆ จะไม่อยากซื้อหุ้นกลับ และถ้าหุ้นตัวนั้นดีจริง ราคาหุ้นก็อาจจะไปต่ออีกเยอะทำให้ท่านพลาดโอกาสครั้งสำคัญลงไป  ถ้าเปรียบเทียบแล้วกระต่ายตื่นตูมน่าจะเป็นลักษณะ คนเดินอยู่แล้วเห็นนกบินผ่านก็ตกใจแล้ว ซึ่งก็เป็นเรื่องแปลกว่ากับอีแค่นกจะกลัวไปทำไมซึ่งกรณีนี้แตกต่างจากการเห็นรถไฟลางๆ ซึ่งเราไม่กลัวไม่ได้เพราะเป็นอันตรายถึงชีวิต  ผมจะลองยกตัวอย่างในตลาดหุ้นจริงๆ เราจะมีหลักการคร่าวๆอย่างไรในการบอกว่า แบบไหนน่าจะเป็นสัญญาณร้าย แบบไหนน่าจะเป็นแค่นกบินผ่าน (ไม่มีอะไรน่ากลัว)  1. .ในแง่ของราคาหุ้นแล้ว หลายคนเวลาหุ้นลงจะเกิดอาการหวั่นใจ แต่เราควรดูว่าหุ้นลงด้วยอาการแบบไหน ถ้าวันก่อนหน้าหุ้นตัวนี้ขึ้นมาประมาณ 10% แล้ววันนั้นหุ้นตัวนี้ราคาย่อลงมา 2 – 3 % แบบนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะการที่หุ้นขึ้นมาวันเดียวแรงๆ ก็มีโอกาสสูงที่วันต่อมาหุ้นจะย่อลงมา เพราะการขึ้นวันเดียว 10% ถือว่าค่อนข้างเยอะพอควร ลงแบบนี้ไม่น่ากลัว เพราะเป็นลักษณะของการ take profit ธรรมดา ถ้าคุณถือหุ้นอยู่แล้วหุ้นขึ้นแรงๆ พออีกวันหนึ่งหุ้นลงเล็กน้อย ถ้าคุณกลัวกับเรื่องแค่นี้ คุณจะรวยหุ้นยากมาก เนื่องจากหุ้นที่จะขึ้นหลายๆเท่าตัวนั้น ระหว่างขึ้นจะต้องมีการปรับฐานตลอด ถ้าคุณแยกไม่ออกว่าอาการแบบไหนเป็นการปรับฐานธรรมดา แบบไหนถือไม่ใช่ปรับฐาน (หุ้นขาลง) คุณก็จะมีปัญหาใหญ่มากกับการเล่นหุ้นทีเดียว ทีนี้การลงของหุ้นที่ความน่ากลัวเป็นอย่างไร การลงที่น่ากลัวจะเป็นการลงแบบอยู่ๆหุ้นลงแรงมากอาจจะ 8 – 10 % และมีวอลุ่มด้วย และอีกวันหุ้นอาจจะเปิดบวกมาประมาณ 2 – 3 % แต่ตอนปิดกลายเป็น 0 % (ไม่บวกไม่ลบ)  อาการแบบนี้ค่อนข้างน่าหวั่นพอสมควร เนื่องจากการที่หุ้นลงแรงระดับ 8 – 10 % แบบมี volume แสดงว่ามีคน bid หุ้นไว้ แต่คนที่ขายหุ้นลงมาเอาหุ้นมาขายเยอะมากทีเดียว และยังขายแบบน่ากลัวด้วย เพราะอยู่ๆทำไมต้องขายหนักขนาดนี้  เขารู้อะไรไม่ดีที่เราไม่รู้หรือเปล่า ถ้าแค่อยากขายทำกำไรจำเป็นต้องขายให้หุ้นร่วงแรงขนาดนี้เลยเหรอ แล้วที่หนักกว่านั้นคืออีกวันต่อมา ทำไมหุ้นไม่ขึ้นกลับมาเลย เปิดบวกเพียงแค่ 2 – 3 %  แต่กลับปิดเสมอตัว  แสดงว่าคนอยากได้หุ้นน้อยมาก เพราะถ้าหุ้นอยู่ในความสนใจของคนหลังจากที่หุ้นลงแรงๆ จะมีคนเข้ามาซื้อหุ้นเพราะเห็นว่าเป็นโอกาสในการซื้อหุ้น ทำให้หุ้นควรกลับขึ้นไปได้แรง แต่ถ้าหลังจากหุ้นลงแรงๆแล้วแทบไม่มีคนซื้อเท่าไหร่เลย หรือที่พูดเป็นภาษาชาวบ้าน ลงแรงแต่ไม่เด้ง แบบนี้ผมคิดว่าเป็นสัญญาณที่ค่อนข้างอันตรายเลย ถ้าหุ้นที่ผมถืออยู่มีตัวไหนที่แสดงอาการแบบนี้  ส่วนใหญ่ผมจะขายออกทันทีเพราะถือแล้วเสียวมาก ถ้าท่านเปิดกราฟราคาหุ้นย้อนหลัง ก็จะเห็นว่าหุ้นที่ลงแรงๆในตอนเริ่ม มักจะมีอาการแบบที่กล่าวมาทั้งนั้น และยังถ้าหุ้นตัวไหนลงแรงในวันที่ตลาดเขียวด้วย แบบนี้สัญญาณร้ายจะยิ่งน่ากลัวมากขึ้นไปอีก

ถ้ามีคนมา comment คุยด้วยจะเขียนตอนต่อไป ถ้าไม่มีคนคุยด้วยจะเขียนตอนเดียว (เรียกร้องความสนใจ)

Comments (49)

ฝึกแกะงบกันดีกว่า (เฉลยแล้ว)

ผมจะนำงบของหุ้นตัวนึงเมื่อประมาณ 5 ปีก่อนมาให้ดูและให้ดูว่าเห็นอะไรกัน

นี้ไม่ได้เป็นการชี้นำทางการลงทุนนะครับ เลยนำงบเมื่อ 5 ปีก่อนมาให้ดู และปิดชื่อหุ้นเอาไว้ คำถามของผมคือ คุณเห็นงบนี้แล้วคุณคิดว่าหุ้นน่าลงทุนไหม

อันนี้เป็นงบกำไรขาดทุนของงวด q3/50

ข้อมูลเพิ่มให้หลังจากที่มีคนวิเคราะห์ไปบางส่วน

บริษัทมี market cap อยู่ที่ 777 ล้านบาท

ถ้าใครลองตั้งใจดูและตอบดีๆ คุณจะได้ประโยชน์เอง ส่วนคนที่อ่านผ่านๆแล้วไม่คิดจะลองคิดอะไร รอคนอื่นมาตอบแล้วค่อยเข้ามาอ่าน คุณก็จะไม่ได้ฝึกฝนตัวเอง

คุณเลือกได้

เฉลย

ผมขอนำราคาหุ้นของหุ้นตัวนี้มาให้ดูกัน

 

รายละเอียดการวิเคราะห์อยู่ด้านในกระทู้

Comments (44)

คุณ ih ครับ ภาค 23

1.cash flow ของ ticon น่าจะดีกว่าบริษัทให้เช่าอย่างอื่นเช่น cpn เนื่องจากค่าเสื่อมแทบจะไม่ต้องนำมา renovate แต่ดูแล้วตลาดจะให้ pe ticon เพียง 10 เท่า แต่ให้ cpn ประมาณ 20 เท่า สมัยวิกฤติปี 40-40 ticon ก็มีอัตราการให้เช่าไม่ต่ำกว่า 80% และมี cash flow ที่สูง

อย่างงบปี 2553 ticon มี
กำไรสุทธิ์ 821 ล้านแต่มี ocf 2209
กำไร 653 ocf 1658
ถ้าเทียบกับ cpn
ปี 2553 กำไร 1143 ocf 3930
ปี 2552 กำไร 4949 ocf 5577

ดูแล้วทั้งสองบริษัทก็มักมีเงินสดจากการดำเนินงานมากกว่ากำไร แต่ดูเหมือน ถ้าดูย้อนหลัง 5-6 ปี cpn จะมี pe สูงกว่า ticon ค่อนข้างมาก ไม่ทราบว่าผมเข้าใจผิดตรงไหน หรือมองข้ามประเด็นไหนไปไหมครับ ว่าเพราะอะไรบริษัทที่ cashflow เป็น free cash มากกว่าแต่ได้ pe น้อยกว่า

– ที่ cpn มี pe สูงกว่า ticon ก็คงเพราะว่า cpn มีอำนาจในการต่อรองในเรื่องการขึ้นค่าเช่ากับลูกค้ามากกว่า และในช่วง crisis ต่างๆ occupancy rate ของ cpn ก็จะสูงกว่า ticon ดังนั้น cpn เลยมี sustainability ของรายได้และกำไรมากกว่าครับ และอีกส่วนหนึ่งก็คงเพราะว่า cpn มี mkt cap มากกว่าครับ

2.ผมคลิกไปดูชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ tfund เห็น ticon ถืออยู่ 28% ผมเข้าใจว่ากฏของการขายเข้า propfund คนที่ขายเข้าต้องถือไม่ต่ำกว่า 1 ใน 3 ไม่ใช่เหรอครับ แต่ทำไมสัดส่วนที่ ticon ถือ tfund กลับไม่ถึง 33% ล่ะครับ

– ถ้าจำไม่ผิดเหมือนจะไม่ให้เกิน 33% นะครับ เพื่อไม่ให้เจ้าของสินทรัพย์ใช้ prop fund เป็นเครื่องมือในการเลี่ยงภาษี ส่วนหากขายสินทรัพย์นั้นเข้ากองทุนแล้วก็มีสิทธิขาย prop fund นั้นทิ้งจนเหลือ 0% ได้ครับ

3.การที่ ticon ขายโรงงานเข้า tfund แล้วมี gm สูงมากระดับ 45-50% เพราะว่า ticon สร้างเองไม่ได้จ้างผู้รับเหมา นั้นไม่ทราบว่าความเห็นคุณ ih คิดว่าความสามารถนี้เป็นสิ่งที่เลียนแบบกันได้ยากมากหรือ เนื่องจากการได้ gm เพิ่ม 15-20% แทนที่จะต้องเสียให้ผู้รับเหมา มันระดับที่สูงมากๆ ทำไมบริษัทอื่นๆไม่หันมาทำแบบ ticon มีอะไรที่เป็นกำแพงกีดขวางไม่ให้สิ่งที่บริษัทอื่นๆหันมาก่อสร้างเองบ้าง เพื่อจะได้ gm สูงๆ หรือเป็นเพราะ ธรรมาภิบาล ?

– ในปัจจุบันคู่แข่งคงเข้ามาลำบากขึ้นครับเพราะแต่ละปี ticon สร้างโรงงานและคลังสินค้าปีละ 100,000-200,000 ตร.ม. ทำให้มี economy of scale การสร้าง รง. เองโดยไม่ใช้ผู้รับเหมาก็ทำให้มี fixed cost ที่ค่อนข้างสูงหากสร้างปีหนึ่งไม่มากนักก็ทำให้บางทีอาจจะทำให้ต้นทุนสูง กว่าจ้างผู้รับเหมาได้ครับ

4.มีบางแนวคิดที่ว่าการซื้อ property fund นั้น ไม่ใช่ win win win แต่เป็น win win lose ความหมายของสองอย่างนี้คือ
win win win นั้นบริษัทที่ขายเข้ากองก็ได้ระดมเงิน ,ที่ปรึกษาทางการเงินก็ได้เงิน,ผู้ซื้อกองก็ได้ปันผล
win win lose คือ ผู้ซื้อกองที่ดูเหมือนจะได้เงินปันผลจริงๆแล้วจะได้จริงหรือไม่
คำว่าได้จริงไม่ ไม่ได้หมายถึงได้เงินปันผลไหม แต่หมายถึง risk adjust return เนื่องจากการได้ปันผลระดับ 7-8% นั้นก็มากกว่าการซื้อพันธบัตรเพียงแค่นิดเดียว แต่ก็ยังมีความเสี่ยงเรื่อง capital loss ในขณะที่พันธบัตรไม่มีความเสี่ยงเรื่อง capital loss การลงทุนในหุ้นระยะยาวแล้วเราไม่ควรได้ return น้อยกว่าปีละ 10% เพราะถ้าได้น้อยกว่านั้น เราก็แพ้ตลาด ถ้าเราต้องเสี่ยงมากกว่าคนซื้อพันธบัตรแต่ยังเล่นแล้วแพ้ตลาด ก็คงถือว่าเราล้มเหลวทางการลงทุน ในแง่ของ prop fund นั้น ผู้ขายเข้ากองก็ลอยตัวไปแล้วเพราะได้เงินแล้วและได้ค่าบริหารด้วย ที่ปรึกษาทางการเงินก็ได้เงินไปแล้วเช่นกัน แต่นักลงทุนดูเหมือนจะได้ผลตอบแทนไม่คุ้มกับความเสี่ยง ถ้าเทียบกับการซื้อพันธบัตร ไม่ทราบว่าคุณ ih มีความเห็นอย่างไรครับ

– คนที่ซื้อ property fund น่าจะเป็นคนที่อยากได้ผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตรหรือฝากธนาคาร แต่ไม่อยากได้ความเสี่ยงเท่าการลงทุนในหุ้นครับ ดังนั้นคนที่ซื้อก็น่าจะหวังเรื่องปันผล และ capital gain นิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นครับ นักลงทุนกลุ่มที่เหมาะกับ prop fund น่าจะเป็น บ. ประกัน หรือกองทุนบำนาญประเภทต่างๆ ทั้งสำรองเลี้ยงชีพ ประกันสังคมหรือ กบข. ครับ เพราะผลตอบแทนระยะยาวดีกว่าพันธบัตร ( มากกว่าประมาณ 2-4% ) และกองทุนหรือ บ. ประกันเหล่านี้จะถูกคุมสัดส่วนการลงทุนในหุ้นหรือไม่อยากเสี่ยงกับหุ้นมาก การลงทุนใน prop fund ก็ยังให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าพันธบัตรรัฐบาลครับ ซึ่งผลตอบแทนที่สูงพันธบัตรรัฐบาลกว่า 2-4% หากคิดทบต้นไปซัก 20 ปีเงินตอนปลายทางก็ต่างกันค่อนข้างมากครับ ดังนั้นผมคิดว่า prop fund น่าจะถูกแยกเป็น asset อีกประเภทหนึ่งเลยออกจากหุ้นครับเพราะผลตอบแทนที่คาดหวังและความเสี่ยงแตก ต่างจากหุ้นครับ ( อนึ่ง เท่าที่ทราบ ในบางช่วง Buffet ก็ลงทุนใน prop fund เหมือนกันครับ ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะต้องการพักเงินหรือมองเห็นโอกาสของ capital gain ครับ )

6.1ดูๆ ไปแล้ว ผมคิดว่าถ้าเทียบกับหุ้นอย่าง tvo กลับมี pe ที่ต่ำกว่า ksl ทั้งๆที่ tvo เป็นผู้เล่นที่ dominate ตลาดน้ำมันถั่วเหลืองและกากถั่วเหลืองได้ในแง่ของ market share ksl ก็อยู่ที่ลำดับ 4 ซึ่งมี market share เพียง 6.3% และการปันผลย้อนหลังของ tvo ก็สูงกว่า ksl สม่ำเสมอ ส่วนตัวผมคิดว่า pe tvo น่าจะเหมาะสมกับตัวมันเองแล้ว เพียงแต่รู้สึกว่า ksl มีประเด็นอะไรที่ผมมองไม่เห็นหรือเปล่าตลาดถึงกล้าให้ premuim เยอะขนาดนั้น เท่าที่ผมศึกษา กำไรของหุ้นน้ำตาลปัจจัยสำคัญจะขึ้นอยู่ที่อ้อยเข้าxxxบ ถ้าปีไหนอ้อยน้อยก็แย่หน่อย และถ้าฟ้าฝนมาไม่ปกติความหวานของอ้อยจะน้อยลงและส่งผลถึง yield น้ำตาลที่น้อยลงด้วย ผมไม่เข้าใจว่าทำไมหุ้นที่คุมชะตาชีวิตตัวเองไม่ได้ลักษณะนี้ถึงมี pe สูงนัก

– ผมก็คิดว่า pe ของ KSL นั้นสูงเกินไปครับ หวังว่าวันหนึ่งจะรู้คำตอบว่าเป็นเพราะอะไร ส่วนหนึ่งผมไม่แน่ใจว่าอาจจะเป็นเพราะหุ้นน้ำตาลทั่วโลก pe สูงประมาณนี้รึเปล่า หุ้นกลุ่ม commodity นี้ก็จะมีกำไรบางไตรมาสที่ดีมากๆ และบางไตรมาสที่แย่มากๆ สลับกันไป ซึ่งช่วงที่กำไรดีมากๆ pe ควรจะต่ำ ผมคิดว่าถ้าจะจ่าย pe แพงขนาด 20-25 เท่าเพื่อซื้อ KSL น่าจะไปซื้อหุ้นที่เป็น superstocks หลายๆ ตัวที่ pe พอๆ กันจะดีกว่าครับ

6.2ถ้าเปรียบเทียบกับ pttep แล้ว การที่ pttep มี pe สูงน่าจะเป็นเพราะว่า ธุรกิจขุดเจาะน้ำมันเป็นธุรกิจที่ยากในการเข้าของผู้เล่นรายใหม่ และเป็นธุรกิจที่มีความแน่นอนของรายได้สูง สังเกตุได้จาก roe ของ pttep จะสูงต่อเนื่อง ซึ่งตลาดก็ให้ pe ของ pttep สูงกว่าหุ้นอย่าง top pttar pttch ซึ่งผมคิดว่าสมเหตุสมผลในแง่ธุรกิจ ในทางกลับกัน ผมเข้าใจว่าบริษัทน้ำตาลจะได้รับอนุมัติจาก ครม ถึงจะสร้างโรงงานได้ ผมไม่ทราบว่าใบอนุญาตินั้นได้ยาก ได้ง่ายแค่ไหน แต่ถ้ารายใหม่เข้ามายากแล้วบริษัทเดิมแทบไม่มีกำไรแล้วผู้ถือหุ้นจะได้อะไร ขึ้นมา

– ก็เป็นคำถามที่น่าสนใจครับ ผมคิดว่านักลงทุนต่างชาติหรือสถาบันอาจจะอยากมีการลงทุนใน soft commodity มั้งครับ ซึ่งตลาดหุ้นไทยก็ไม่ค่อยมีหุ้น soft commodity ที่มีสภาพคล่องการซื้อขายให้เลือกมากนัก ลองให้โรงงานน้ำตาล top 10 ทุกบริษัทอยู่ในตลาดหุ้น ผมคิดว่า pe หุ้นกลุ่มนี้คงจะลดลงครับเพราะ supply ของหุ้นให้เลือกซื้อมีมาก

 

7.ขอวกกลับมาถามเรื่อง ticon อีกทีนะครับ เนื่องจากผมไปดูย้อนหลังในแง่ของ eps มันมาแล้วทำรูปนี้ออกมาครับ
ในรูปนี้ผมใส่กำไรต่อหุ้นแต่ละปีในสมัยก่อนเอาไว้ คำถามของผมก็คือว่า ตอนที่ ticon จัดตั้งกองทุน propfund ครั้งแรกในปี 2548 นั้น ขายหมดในช่วงเดือน 4-5 และบันทึกรายได้จากการขายกองเข้ามา 1730 ล้าน ดูจากรูปจะเห็นได้ว่าหลังจากรับรู้เรื่อง propfund แล้วราคาหุ้นก็ลงไป กำไรในปีนั้น 1.29 แต่หุ้นลงไปถึง 8 บาทเศษ ซึ่งก็คือ pe 6.2 แบบ forward หลังจากที่งบไตรมาส 2 ออก ผมเลยเขียนคำว่าตลาดน่าจะมองว่าเป็น one time gain จึงแทบไม่ให้ premuim เลย

จังหวะในการซื้อ ticon ในตอนนั้นมีสองตอน ตอนแรกคือปลายปี 2547 สำหรับคนที่อ่านเกมส์ขาด คือซื้อตอน 6 บาทไม่นานก็ไปถึง 12

ส่วนจังหวะที่สองคือตอนลงมา 8 บาทซื้อแล้วก็ยังขึ้นไป 22

การจะซื้อจังหวะที่สองได้ในความเห็นผมคนๆนั้นน่าจะมองออกว่าการขายเข้า propfund จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นต่อเนื่องแล้วสุดท้ายตลาดก็จะมองว่ามันไม่ใช่ one time ซึ่งถ้าเราดู pe ticon ในปี 2006-2007 ที่รวมกำไรจาก propfund เข้าไปด้วยกลายเป็นเล่น pe ไม่ต่ำกว่า 10 เท่าแต่ส่วนใหญ่จะ 13-14 เท่าตลอด

คำถามของผมคือตรงนี้ครับ หลังจาก ticon ขายโรงงานเข้า tfund ครั้งแรกซึ่งตอนนั้นถือเป็นเรื่องแปลกใหม่ เราจะวิเคราะห์ออกมาได้อย่างไรว่า ticon น่าจะขายเข้า fund ได้ต่อเนื่อง

– ตอนนั้นคนมองว่าไม่ต่อเนื่องเพราะมองว่า ticon ขายของเก่ากิน แต่ที่จริงแล้ว ticon สามารถสร้างโรงงานให้เช่าเพิ่มได้ปีหนึ่งประมาณ 80,000-100,000 ตร.ม. ซึ่งเพียงพอกับการขายเข้า prop fund ทุกปีครับ โดยเราจะเห็นว่าพื้นที่ให้เช่าสุทธิของ ticon ไม่ได้ลดลงแต่อย่างไร และ ticon ก็ขายเข้า prop fund ประมาณ 70-80% ของที่สร้างเพิ่มแต่ละปีทำให้มีเหลือที่จะไปขายในปีที่มีปัญหาที่มีลูกค้า เพิ่มน้อยอย่างปี 2552 ได้ รวมทั้ง yield ที่ ticon ให้ prop fund ประมาณ 7-8% ดังนั้นหากดอกเบี้ยเงินฝากยังไม่เกิน 4-5% ticon ก็ขายสินทรัพย์เข้า prop fund ได้สบายครับ

8.ถ้าเราประเมิน pe ของ ticon ด้วยวิธีแยกส่วนเป็น 2 ส่วน
ส่วนแรก pe แบบ developer คือส่วนที่ขายเข้า tfund เนื่องจาก gross margin สูงมากถึง 45-50% เราอาจะให้ pe สูงกว่า develop ทั่วไปเล็กน้อยเช่น 7 เท่า

ส่วนที่สอง pe ของค่าเช่า เราอาจดูว่าตลาดให้ pe cpn sf เท่าไหร่แล้วก็ให้เท่ากัน ถามว่าทำไมให้เท่ากันเพราะจริงๆแล้วค่าเสื่อม ticon ไม่ต้อง renovate เยอะเท่า มันเป็น free cash มากกว่าแต่ด้วยความ conservative จึงให้เท่ากัน

วิธีคิดแบบนี้ไม่ทราบมีความเห็นอย่างไรครับ

– ครับ pe ของ ticon ควรจะสูงกว่า property devl ที่เป็นการขาย 100% แต่ควรจะต่ำหุ้นที่เป็นการเช่า 100% เช่น cpn ดังนั้นถ้ามองว่ากำไรครึ่งหนึ่งมาจากการเช่า และอีกครึ่งหนึ่งมาจากการขาย ก็เอา pe มา brend กันก็ได้ครับ เช่น ถ้าให้ p/e จากการเช่าประมาณ 15-20 เท่า จากการขาย 6-8 เท่า ก็อาจจะได้ pe ที่เหมาะสมอยู่กลางๆ ระหว่าง 2 ค่านี้ ผมยังมองว่า pe จากการให้เช่าของ ticon ยังต้องต่ำกว่า cpn เพราะ cpn มี pricing power ในการปรับค่าเช่าในขณะที่ ticon ไม่ค่อยมีครับ

9.วิธีประมาณการกำไรของ tfund ในปี 2548 เป็นแบบนี้ถูกไหมครับ

มูลค่ากองที่ขาย 1730
Bv asset ที่ขายเข้ากอง 908
กำไรขั้นต้น 822 (47.5%)
หักเงินลงทุนออกมา ,822*33.33=271
271 เป็นสินทรัพย์ในรายการเงินลงทุนในบริษัทร่วม
822-271 = 551
กำไรหลังหักภาษี 551*0.7 = 385

ถ้าวิธีคิดแบบนี้ถูกเราสามารถนำ model นี้ไปใช้กับการขายเข้า fund ของ cpnrf และอื่นๆได้หมดเลยใช่หรือไม่ มีจุดไหนที่เราต้องปรับเปลี่ยนตัวเลขบ้างถ้าเราใช้ model นี้กับบริษัทอื่น

– ถูกต้องแล้วครับ ยกเว้นถ้าเป็นการขาย warehouse เข้ากองทุนจะไม่เสียภาษีเพราะได้ boi
จริงๆ ผมคิดว่า ticon ไม่จำเป็นต้องถือ tfund มากมายอะไรเพราะเวลาขายจะได้กำไรเยอะ น่าจะถือ 15-20% ก็มี control ได้แล้วนะครับ

10. ไม่ทราบว่าคุณ ih มีความเห็นต่อกรณีที่หุ้นอสังหริมทรัพย์บางตัวมี backlog ที่เยอะมากเป็นประวัติการณ์ และจะมียอดรับรู้รายได้สูงต่อเนื่อง แต่ราคาหุ้นยังเทรดมี discount เมื่อเทียบกับในอดีต อย่างไร

เช่นกรณีของ ap ที่ล่าสุดมียอดจองสูงถึง 30000 ล้าน ราคาหุ้นปัจจุบันอยู่ที่แถว 5.5 บาท ถ้าเราย้อนไปตอนปี 2007 ap ก็อยู่แถว 5 บาท แต่ตอนนั้นยอดรับรู้รายได้แค่ประมาณ 7500 ล้าน แต่ปีนี้โบรกเกอร์ส่วนใหญ่คาดว่ายอดรับรู้รายได้จะสูงถึง 16000 ล้าน

ผมทำสีชมพูไว้คือยอด backlog ของบริษัทที่สูงขึ้นเป็นเท่าตัวเมื่อเทียบกับสมัยก่อน

ผมดูแล้วบริษัทมีพัฒนาการหลายอย่างที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับในอดีตในขณะ ที่ราคาหุ้นยังไม่ไปไหน เลยอยากลองแชร์ความเห็นดูว่าน่าจะเป็นเพราะสาเหตุอะไร

10.1 ตลาดอาจจะมองว่าดอกเบี้ยเป็นขาขึ้นอยู่ทำให้มองว่าไม่น่าจะส่งผลดีต่อหุ้น อสังหริมทรัพย์ แต่ราคาน้ำมันก็ได้ลงจากจุดสูงสุดแถว 120 เหรียญมาต่ำกว่า 100 เหรียญทำให้เงินเฟ้ออาจจะไม่ขึ้นต่อไปมาก แต่มีประเด็นคือเรื่องค่าแรง 300 บาทในปีหน้าและเรื่องที่รัฐบาลเก่าอาจจะยังไม่ลอยตัวราคาสินค้าบางอย่างใน ชีวิตประจำวันจึงทำให้เงินเฟ้อดูต่ำกว่าความเป็นจริง ไม่ทราบว่าคุณ ih มองประเด็นเหล่านี้ว่าอย่างไรบ้างครับ

10.2 คุณ ih คิดว่ามีประเด็นอะไรอีกบ้างครับที่ทำให้ตลาดค่อนข้างกดหุ้น ap เมื่อเทียบกับ backlog ,revenue

– ตอบข้อ 10.1-10.2 รวมกันแล้วกันนะครับ ในช่วงก่อนหน้านี้ซัก 4-5 ปีก่อน backlog ส่วนใหญ่ของ AP คือบ้านเดี่ยวและทาวเฮาส์ แต่ปัจจุบัน backlog ส่วนใหญ่เป็นคอนโดฯ ซึ่งมีความเสี่ยงกว่า กล่าวคือ คนซื้อบ้านหรือทาวเฮาส์เกือบทั้งหมดซื้ออยู่เอง ไม่ค่อยมีใครให้เช่า ส่วนเก็งกำไรนี่แทบไม่มี แต่คอนโดฯ ก็มีทั้งซื้ออยู่เอง ลงทุนให้เช่า และเก็งกำไร อีกทั้ง backlog คอนโดฯ มักจะใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าจะโอน นักลงทุนก็อาจจะมองว่าเป็นความเสี่ยง หากเศรษฐกิจมีอะไรที่เลวร้ายติดต่อกันนานๆ คนที่ซื้อไว้อาจจะไม่ยอมมาโอนได้ หรือถ้าต้นทุนต่างๆ เพิ่มขึ้นมากก็กระทบ margin ได้เพราะ lock ราคาขายกับลูกค้าไปแล้ว แต่โดยภาพรวมก็ถือว่าหุ้น AP ก็มี pe ต่ำกว่าสมัยก่อนเยอะครับ ส่วนหนึ่งก็น่าจะเพราะ D/E ที่สูงขึ้นมาด้วย

11.หุ้น siri นั้นหลังจากผู้บริหารคือ คุณ เศรษฐา ทวีสิน ได้เข้าไปเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเป็นจำนวนสูงมากเมื่อประมาณช่วง q2/2010
(รายละเอียดอ่านได้ในร้อยคนร้อยหุ้นหน้า 9 ของ siri ครับ

http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=4&t=32527&start=240)

หลังจากนั้น gross margin ของบริษัทก็สูงขึ้นทันตาเห็น (โอ้ว มหัศจรรย์จริง) ถ้าเราดูย้อนกลับไปหลายปีก่อน siri ทำ gm ได้ 26-28% เท่านั้นเอง แต่ไตรมาส 1 ล่าสุดที่ประกาศตัวเลขออกมานั้น siri กลับสามารถทำ gross margin ได้สูงถึงเกือบ 34% ทีเดียว ผู้บริหารบอกว่าจะพยายามเพิ่ม gross margin ให้ได้ต่อเนื่อง ที่นี้ถ้าเราดู eps ปี 2010 siri ทำได้ 1.28 ต่อหุ้น
ถ้าเราใช้ tailing pe ราคานี้ pe ก็ไม่ถึง 5 เท่า
ถ้าเราดูจากยอด presale แล้ว siri มีอันดับสูงเป็นรายที่สอง เป็นรองเพียงแค่ ps
ผมดูหุ้นอสังหริมทรัพย์ขนาดเล็กมักจะมี pe ต่ำกว่าขนาดใหญ่
แต่ siri ดูเหมือนจะเป็นหุ้นอสังหริมทรัพย์ขนาดใหญ่ที่ pe ต่ำเมื่อเทียบกับหุ้นตัวใหญ่ๆด้วยกันเช่น lh qh ap lpn ps ผมเข้าใจว่าปัจจัยกดดันราคาหุ้นก่อนหน้านี้คือตลาดอาจจะมองว่า siri มี gm ที่ต่ำ แต่ 3 ไตรมาสย้อนหลังมานี้ตั้งแต่อุตราแมน เฮ้ย คุณ เศรษฐาเพิ่มสัดส่วนจนถือหุ้นเยอะมากขึ้นมาก และหลังจากนั้น gm ก็เริ่มสูงขึ้น

อยากถามว่าแบบนี้ถือว่า downside ต่ำไหมครับเนื่องจากที่ pe discount ค่อนข้างเยอะนี้คงสะท้อนว่านักลงทุนไม่เชื่อว่า siri จะมีความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้นมาได้จริงๆ เลยทำให้ pe ต่ำ และหุ้นยังเล่นต่ำ bv ซึ่งถ้าเทียบกับหุ้นอย่าง ps lpn ap lh qh spali ก็ไม่ได้เล่นต่ำ bv อย่าง siri ที่นี้ถ้า gm สูงขึ้นได้ต่อเนื่องเหมือนที่ผู้บริหารบอกจริงตลาดมีโอกาศปรับ pe ให้ไหมครับ

ผมดูรวมๆแล้ว siri ค่อนข้างปันผลเยอะ ส่วนนึงเนื่องจาก pe ต่ำ และยังเล่นต่ำ bv แต่อัตราการทำกำไรดีขึ้นและยอด presale ปีก่อนก็เติบโตต่อเนื่อง แต่ผมไม่เชี่ยวชาญหุ้นอสังหริมทรัพย์ไม่แน่ใจว่ามีประเด็นอะไรที่ผมมองข้าม ไปบ้างเลยอยากขอคำชี้แนะด้วยครับ

– 4-5 ปีที่ผ่านมา SIRI มี net margin ที่ต่ำมากคือประมาณ 6-7% ซึ่งเยอะกว่าหุ้นค้าปลีกนิดเดียวแต่ inventory turnover นั้นต่ำกว่ามาก แม้ปัจจุบัน GM จะดีขึ้นแต่ net margin ยังต่ำกว่า 10% ซึ่งน่าจะเป็นผลจาก SGnA ที่ยังค่อนข้างสูง ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า SIRI มีการใช้งบการตลาดค่อนข้างสูงมาตลอด ซึ่งก็ทำให้การยอมรับใน brand ของ SIRI นั้นก็ค่อนข้างสูงซึ่งสวนทางกับความสามารถในการทำกำไร

ส่วนแนวโน้มจะเป็นอย่างไร ถ้าผู้บริหาร SIRI สามารถเพิ่มทั้ง gross และ net margin ได้ผมคิดว่ากำไรน่าจะเพิ่มขึ้นได้มากเพราะ backlog ก็มีเยอะอยู่แล้ว ซึ่งตรงนี้ผมคิดว่าก็ต้องเป็นการคาดการณ์ในอนาคตอยู่เหมือนกันครับ คนที่คิดว่าไม่น่าจะดีขึ้นมากก็อาจจะเพราะว่าดูจากผลการดำเนินงานในอดีตและ ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ส่วนคนที่เชื่อว่าจะดีขึ้นก็อาจจะใช้ทฤษฎีแรงจูงใจว่าถ้าผู้บริหารถือหุ้น เพิ่มขึ้นมาก็มีแรงจูงใจในการสร้างกำไรมากขึ้น ซึ่งผมก็มองไม่ออกว่าจะออกไปทางไหนเหมือนกันครับ

 

12.การ ที่ ticon ขายโรงงานเข้า tfund น่าจะทำให้บริษัทมี d/e ลดลงถูกไหมครับแต่ทำไมหลายปีมานี้ d/e ของบริษัทยังกลับเพิ่มสูงขึ้นอีก ครับ

– เป็นเพราะ ticon มีการขยายมาทำ warehouse ให้เช่า ทำให้ต้องซื้อที่ดินแปลงใหญ่เพื่อสร้างเอง ทำให้พื้นที่ก่อสร้างในปัจจุบันเพิ่มขึ้น อีกทั้ง ticon มี payout ratio ที่สูงจึงทำให้ equity เพิ่มไม่มากนักครับ

Comments (9)

hunter & masterpiece

ผมคิดว่านักลงทุนมือใหม่ที่เข้ามาศึกษาเรื่องหุ้นในช่วงแรกๆจะต้องมีอาการ ผิดๆถูกๆ จับประเด็นจับทางไม่ได้ ว่าจะเริ่มอย่างไร ยังไง แล้วก็ต้องศึกษาอยู่นานมากๆกว่าจะตกผลึกทางการลงทุนได้

ผมเคยได้ฟังคุณ ตัน (อิชิตัน) พูดเมื่อหลายปีก่อนว่าชีวิตทำธุรกิจมาตั้งนานกว่าจะได้สัมผัสเงินหลายล้านนี้ทำมาไม่รู้กี่สิบปี แต่พอเอาหุ้น oishi (สมัยนั้นยังถือหุ้นเยอะ) เข้าตลาดหุ้นขึ้นแค่บาทเดียวได้เงินไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยล้าน

ผมฟังๆแล้วก็รู้สึกว่า อืม ก็จริงนะชีวิตของคนเราต้องใช้เวลาในการเรียนรู้และลองผิดลองถูกอยู่นานมากกว่าจะจับทางทำเงินได้ กว่าจะจับโดนธุรกิจที่ทำเงิน หลายครั้งเราอาจจะทำธุรกิจมาเป็น 10 ปี แล้วได้เงินแค่ไม่กี่ล้าน แต่พอเราไปจับธุรกิจบางตัว หรือ สินค้าบางอย่างแล้วโดน เราสามารถได้เงินปีเดียวมากกว่าที่ทำมาไม่รู้กี่สิบปี ถ้าเราเลิกก่อนที่จะจับโดนผลงานชิ้นเอกของชีวิตหรือ masterpiece ความพยายามที่เราทำมาทั้งหมดอาจสูญเปล่า

ในวงการลงทุนก็มีหลายคนที่เล่นหุ้นมาหลายปีแล้วไม่รวยเท่าไหร่ แต่มีเพียงแค่ 1-2 ปีที่ไปจับโดนหุ้นบางตัวแล้วรวยขึ้นเป็น 10 เท่าตัว บางคนเล่นมา 3-4 ปีอาจได้กำไรแค่เท่าสองเท่า แต่พอจับโดนตัวที่จิ๊ดจริงๆก็ได้เงินเยอะและเร็วอย่างที่ตัวเขาเองก็ไม่กล้าหวังและกล้าฝัน นักลงทุนหลายคนที่อยู่ในตลาดหุ้นแล้วศึกษาเรื่องหุ้นมาหลายปีแต่ยังไม่ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำซะที ก็อย่าเพิ่งท้อใจไป หรือ อย่าเพิ่งคิดว่าตัวเองไม่เหมาะกับตลาดหุ้น เพราะไม่แน่ว่าอีกไม่กี่ปีคุณไปเจอตัวที่ใช่ทีเดียวก็อาจจะรวยไม่รู้เรื่องไปเลย หลายคนมักให้คุณค่ากับตัวเงินเพียงอย่างเดียว แต่จริงๆแล้วเรามีสิ่งบางอย่างที่เงินอาจไม่สามารถวัดได้ เช่น ประสบการณ์และความรู้ที่สั่งสมจนถึงขั้นที่พร้อมสามารถรวยได้ เพียงแต่จังหวะตลาดและหุ้นเด็ดยังไม่ออกมา เปรียบเหมือนนักล่าที่พละกำลังและอาวุธ พร้อมที่ขั้นเป็น master hunter ได้แล้ว เพียงแต่ยังไม่มีเหยื่อดีๆมาเท่านั้นเอง ขอเพียงมีเหยื่อมาเท่านั้นแหละ คุณก็อิ่มไปนาน ผมคิดว่าหลายคนที่ลงทุนมา 4-5 ปีแล้วยังไม่กำไรเยอะ ไม่ควรท้อแท้และคิดมาก ถ้าคุณตั้งใจศึกษาจริงขอเพียงมีโอกาสเหมาะๆมาคุณก็มีโอกาสทำเงินได้เอง และการทำเงินครั้งสำคัญเพียงไม่กี่ครั้งก็อาจทำให้ชีวิตคุณสบายไปได้ตลอดชีวิตเลยทีเดียว ดังนั้นจงอย่าละทิ้งความตั้งใจและความหวัง จงขยันศึกษาและอดทนรอต่อไป

ข้อต่อมาผมคิดว่าการที่จะทำให้ตัวคุณมีความเป็นนักล่าขั้นสุดยอดหรือ master hunter ได้นั้น คุณจำเป็นต้องหายใจเข้าออกเป็นเรื่องการล่าสัตว์ (ในที่นี้คือ หายใจเข้าออกเป็นเรื่องการลงทุนอย่างเดียว) วิธีที่จะเช็กว่าคุณมีความสามารถในการเป็นนักล่าที่ดีพอไหม ที่ผมคิดว่าค่อนข้างได้ผลคือ

คุณสามารถที่จะบอกได้ไหมว่า หุ้นที่จะขึ้นอย่างน้อย 100% ต้องมีคุณสมบัติอะไร

หุ้นที่จะขึ้นได้ 1000% ต้องมีลักษณะของงบการเงิน ภาวะอุตสาหกรรมอย่างไร ถ้าคุณยังไม่สามารถบอกเรื่องพวกนี้ได้ ก็ป่วยการ ผมคิดว่าคุณเป็นได้เพียง hunter ฝึกหัดเท่านั้น เพราะถ้าคุณยังไม่รู้ว่าเวลาหมูป่าวิ่งออกมาจะต้องใช้อาวุธอะไร แทงตรงไหน มีวิธีป้องกันตัวยังไง แล้วคุณจะล่าสัตว์ได้อย่างไร

ตัวผมเองช่วงหลังมานี้แทบไม่อ่านหนังสือการลงทุนเล่มไหนเลย ผมใช้เวลาเกือบทั้งหมดที่มีอยู่ในการศึกษา case study เท่านั้น เพราะผมรู้สึกว่าหลักการลงทุนต่างๆของ บรรดา guru วีไอ และ guru เทรด ผมก็อ่านจนไม่รู้จะอ่านของใครแล้ว และอ่านจนอิ่มตัว รุ้สึกว่าอ่านไปก็แทบไม่มีหลักการที่เป็นมุมมองใหม่ๆอีกแล้ว หนังสือของ buffet ผมก็เลิกซื้อไปนานแล้ว เพราะรู้สึกว่ามันซ้ำไปซ้ำมาอยู่นั้นแหละ (แฟน buffet อย่าโกรธผมนะ) ผมคิดว่าเวลาที่มีจำกัดแทนที่ผมจะเอามานั่งอ่านหนังสือหลักการลงทุนบางอย่างซึ่งก็เล่มใหม่ๆก็แทบไม่มีเนื้อหาอะไรใหม่ๆเลย ผมเอาเวลาไปศึกษาดีกว่าว่าหุ้นที่ขึ้นเยอะๆมันมีลักษณะยังไงบ้าง และช่วงหลังๆผมศึกษาเพิ่มไปอีกด้วยว่า หุ้นที่เหมือนน่าจะขึ้นได้เยอะๆแต่ดันขึ้นไม่ได้มันสะดุดจากอะไร  เรื่องนี้จริงๆเป็นเรื่องสำคัญมากเพราะว่า หลายครั้งมันจะมีหุ้นที่ดูจากอัตราส่วนทางการเงิน ดู story ต่างๆแล้วมันต้องแบบว่า ใช่เลย ตัวนี้ กูรวยแน่ แต่ซื้อไปแม่มหนังคนละม้วนเลย นักลงทุนที่เจออะไรมาเยอะๆ จะต้องผ่านหุ้นแบบนี้พอสมควร และการที่สามารถบอกได้ว่าหุ้นแบบไหนที่ขึ้นเยอะมากๆ และหุ้นแบบไหนที่เหมือนจะขึ้นได้มากๆแต่ดันขึ้นไม่ได้หรือแย่กว่านั้นดันลง มันมีกับดักอะไรซ่อนอยู่ จะเพิ่มขีดความสามารถในการล่าให้สูงขึ้นไปอีก และการเพิ่มความสามารถจนมาถึงขั้นนี้ได้ก็น่าจะช่วยให้นักลงทุนมีผลงานระดับ masterpiece ได้และทำให้เขาเข้าถึง financial freedom ได้ในที่สุดครับ

และที่สำคัญ สัตว์ที่เราล่าทุกตัวนั้นคือครูของเราครับ ไม่ว่าเราจะล่าแล้วได้รับบาดเจ็บกลับมา(ซื้อหุ้นแล้วขาดทุน) หรือล่าได้(ซื้อแล้วได้กำไร) เราก็ควรคิดว่าสัตว์ทุกตัวทำให้เราเจนสนามขึ้น ผมคิดว่าตลาดหุ้นไม่ใช่สถานที่ของคนที่มี iq สูงเท่านั้นจึงจะรวยได้ ผมคิดว่า iq ระดับปานกลาง และ eq ที่สูง และการฝึกฝนที่ดีอย่างต่อเนื่อง และการอดทนรอได้มากพอ คือปัจจัยที่จะทำให้คุณรวยได้ครับ

ขอให้รวยๆกันทุกคนครับ

Comments (12)

หนังสือลงทุนเล่มแรกที่ผมเขียนครับ “รวยได้ด้วยหุ้น”

สำหรับ ท่านที่ซื้อหนังสืออ่านแล้วมีคำถามเกี่ยวกับหลักการที่เขียนไป หรือมีข้อติดชมแนะนำ ว่าชอบตรงไหน ไม่ชอบตรงไหน หรืออยากให้มีเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับเนื้อหาประมาณไหนเพิ่ม ก็สามารถเขียน comment ทิ้งไว้ได้นะครับ

อันนี้เป็นบรรยากาสที่ไปแจกลายเซ็นวันที่ 16 ตุลาคม ครับ

สวัสดีครับเพื่อนๆทุกท่าน วันนี้ขอโฆษณาหนังสือหุ้นเล่มแรกของผมหน่อยนะครับ หน้าปกสวยไหมครับ 5555

ต้องขอออกตัวนิดนึงนะครับ ว่าหนังสือเล่มนี้เป็นเนื้อหาสำหรับ beginner – intermediate ประมาณ 70% และอีก 30% ที่เหลือเป็นเนื้อหาสำหรับนักเล่นหุ้นที่ advance แล้ว

ดังนั้นใครที่อยากเล่นหุ้นแนวพื้นฐานแล้วไม่รู้จะ หัดอ่านงบการเงินอย่างไร เลือกหุ้นอย่างไร มีทัศนคติทางการเงินอย่างไร ผมมั่นใจว่าหนังสือเล่มนี้จะช่วยท่านได้มากทีเดียวครับ
สาเหตุที่ผมเขียนเรื่องการอ่านงบการเงินในหนังสือเล่มนี้ค่อนข้างเยอะเนื่องจากว่า ผมเห็นคนคลิกอ่านบทความใน blog ผมเกี่ยวกับงบการเงินมากที่สุดในบรรดาบทความทั้งหมด ทำให้ผมคิดว่ามีเพื่อนๆหลายท่านที่อยากหาหนังสือหรือบทความที่อ่านงบง่ายๆ ผมเลยเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาและมีเนื้อหาการอ่านงบการเงินเบื้องต้นที่จำเป็นเกือบทั้งหมดลงไปครับ

ถามว่าหนังสือเล่มนี้ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง
ก็จะมีเรื่องการอ่านงบการเงิน

วิธีการดูงบกระแสเงินสด

สไตล์การเลือกหุ้นที่เหมาะสมกับผู้ที่รับความเสี่ยงของเงินต้นได้น้อย

และเนื้อหาเกี่ยวกับ case study หุ้นที่ขึ้น 10 เท่าในอดีต (ขอย้ำในอดีตที่เกิดขึ้นแล้ว) อันนี้เป็นของอุตสาหกรรมยานยนต์

อันนี้เป็นของหุ้นเดินเรือในอดีตที่เคยขึ้นมากกว่า 20 เท่าว่ามันเป็นเพราะอะไร

ตัวอย่างคร่าวๆนะครับ

สุดท้ายนี้หวังว่าเพื่อนๆที่เล่นหุ้นจะรับหนังสือของผมไว้ในอ้อมใจซักคนละเล่มผมก็จะขอบพระคุณมากเลยครับ

Comments (91)

ตลาดดีหรือเปล่าโปรดอย่าถาม (copy peter lynch มา)

เมื่อวันพุธที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสไปพูดที่ตลาดหลักทรัพย์

และหลังเลิกงานมีคนถามผมว่ามอง set ยังไงหลายคน
และมีคนถามถึงขนาดว่า set จะลงไปกี่จุด

ต้องตอบตรงนี้เลยว่า ไม่รู้ (ฮา)

หลายคนอาจจะคิดว่า คนที่เล่นหุ้นแล้วได้กำไรเยอะๆ จะต้องสามารถคาดการณ์ดัชนีได้ แต่เปล่าเลย ไม่มีใครทำได้ การบอกว่าดัชนีจะไปเท่าไหร่ ไร้สาระมากพอๆกับการบอกว่าเลขท้ายจะออกตัวอะไร ไม่ว่าจะเป็นสุดยอดทางด้านพื้นฐานหุ้นอย่าง บัฟเฟตหรือ peter lynch หรือสุดยอดของการเทรดหุ้นอย่าง ลิเวอร์มอ และเหล่า trend following ก็ไม่เคยมีใครออกมาบอกว่า การจะเป็นเซียนต้องคาดการณ์ตลาดได้ ดังนั้นเวลาเจอใครออกมาคาดการณ์ตลาด ขอให้รู้ไว้เถอะว่ามันไร้สาระพอๆกับ การไปสนามม้านั้นแหละ

หลายคนอ่านที่ผมเขียนแล้วอาจจะรู้สึกผิดหวังว่าอะไรกัน ไม่มีการบอกแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นเลยเหรอ อยากรู้อะว่า ฮงแวลู่มองตลาดยังไง 5555

ผมบอกให้ก็ได้ครับว่าผมมองว่าตลาดตรงนี้ risk ไม่คุ้มกับ reward การพูดแบบนี้สามารถทำได้ แต่การบอกว่าเซทจะไปเท่าไหร่เป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ เรามาขยายความกันว่าทำไมการบอกว่าเซทจะไปเท่าไหร่เป็นไปไม่ได้

เพราะ นักลงทุนไม่ใช่ ประธาน fed ไม่ใช่นายกของ เยอร์มัน ที่จะกำหนดอะไรหลายๆอย่างที่ชี้เป็นชี้ตายได้ ดังนั้นการที่ไปคาดการณ์ว่าเดี่ยว fed จะทำอะไร เดี่ยวประเทศเยอร์มันจะเกิดอะไร ความแม่นยำคงไม่ต่างจากการเล่นไฮโลว์

แต่การที่บอกว่าความเสี่ยงไม่คุ้มค่าผลตอบแทนนั้นต่างกัน เชื่อไหมว่ามีนักลงทุนท่านนึงที่ล้างพอร์ตไปแถว 1100 จุด นักลงทุนที่นี้รวยขึ้นมหาศาลจากตลาดในปี 2009-2010 และล้างพอร์ตไปแถว 1100 ด้วย หลายคนอาจคิดว่าคนที่ทำแบบนี้ได้คงจะรู้ว่า set จะเป็นไง เปล่าเลย เขาเพียงแต่บอกกับผมว่า ดัชนีแถว 1100 เขามองไม่เห็นปัจจัยว่า set จะขึ้นไปได้เยอะๆได้อย่างไร แต่กลับกันถ้า set จะลงเยอะๆ ยังมีโอกาสมากกว่า ด้วยความคิดแบบนี้เขาจึงตัวเบา ไร้หุ้นในพอร์ตตอนดัชนีอยู่แถว 1100

ทีนี้ผมมาคิดต่อเองว่าแล้วระดับดัชนีแถวนี้ล่ะยังคุ้มค่าที่จะเสี่ยงไหม เลยลองดูค่า
pbv ของ set ในตอนปลายปี 2008 เคยลงไปถึงแถวระดับ 0.8-0.9 แต่ที่ดัชนี 916 จุด pbv ของ set อยู่ประมาณ 1.7 หมายความว่าในกรณีที่เกิด วิกฤติขึ้นมาแล้ว gdp ติดลบ ผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนหายไปเยอะๆ ถ้า set ลงไป trade ที่ pbv เดียวกับสมัยปลายปี 2008 set ก็จะลงได้อีกเกือบ 50% แต่นั้นคงเป็นการมองโลกในแง่ร้ายมากทีเดียว แต่มันก็เป็น probability ที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้เหมือนกัน

ในทางกลับกันล่ะ ปัญหาทางยุโรปมีความซับซ้อนและใหญ่มาก ต่อให้มีการยื้อกันไปได้ต่อ set จะกลับขึ้นไปทะลุ 1150 ได้ไหม คงต้องตอบว่ายากมาก เพราะว่าแนวโน้มของผลประกอบการในครึ่งปีหลังคงไม่ดีเท่าไหร่นัก ถ้าดูจากราคาน้ำมัน เพราะหลายๆโรงกลั่นคงมี stock loss และในช่วงไตรมาสนี้ราคา commodity เกือบทุกชนิดลดลงจากไตรมาสมาสสองทั้งนั้น ล่าสุดนี้ราคาน้ำมันทำหลุด 80 เหรียญไปแล้วด้วยซ็ำ

หลายคนอาจมองว่าแต่ปีนี้จะมีการลดภาษีนิติบุคคล ก็จริงผมไม่ได้เถียง ประเด็นคือ ถ้ากำไรของบริษัทจดทะเบียนถดถอยเพราะหุ้นส่วนใหญ่เป็นน้ำมัน การลดภาษีนิติบุคคล อาจทำให้กำไรที่ควรจะลดเยอะ ไม่ค่อยลดเท่าไหร่ แต่ถ้าเศรษฐกิจโลกแย่ตลาดจะลด pe ของ set ลงไปเอง ดังนั้นหุ้นก็จะลงอยู่ดีเพียงแต่ pe ของ set จะถูกเพราะว่ากำไรไม่ลดเท่าไหร่แต่ดัชนีลด

ตอนนี้ pe ของ set ที่ประกาสในเว็บของตลาดหลักทรัพย์ประมาณ 11 เท่า แต่ผมจำได้ว่าแต่ subprime เราเทรดกันที่ pe 6 เท่าทีเดียว ดังนั้นถ้ามองในแง่ pe set ก็ยังลงได้อีกมาก ในกรณีที่เกิดเศรษฐกิจถดถอย

ถ้ามองในด้าน techinical ก็ต้องบอกว่ากราฟ set ตอนนี้ “เละเป็นโจ๊ก”
แน่นอนว่าคนที่เล่นเทคนิคระยะกลางออกจากตลาดเป็นส่วนใหญ่แล้ว เพราะกราฟมันบอกให้ออก (55)

หลายท่านอาจจะบอกว่า แต่ผมลงทุนในหุ้นไม่ใช่ลงทุนในตลาด สิ่งที่ฮงแวลู่พูดคือการทำตัวเป็นนายตลาดซะเอง ฮงแวลู่แม่มเฮงซวย

เอาเถอะครับ ผมเขียนบทความนี้ขึ้นมาไม่ได้เพื่อชี้นำให้ซื้อหรือขายหุ้น ผมเพียงแต่คิดว่า นักลงทุนมีโอกาสที่จะเลือก การลงทุนในหุ้นไม่ได้มีใครมาบังคับให้เราซื้อหุ้น เราซ์้อก็เพราะเราคิดว่ามีโอกาสได้มากกว่าเสีย (ใครซื้อหุ้นโดยที่คิดว่ามีโอกาสเสียมากกว่าได้ก็คง ปญอ ไปหน่อยแล้ว) ผมคิดว่าตอนนี้ผมมีโอกาสเสียมากกว่าได้ผมก็ไม่ค่อยอยากเล่นเท่าไหร่ จริงๆแล้วตอนดัชนีแถว 1030 จุดผมก็เขียนเรื่องว่าลงทุนมีโอกาสเสียมากกว่าได้แล้ว และตอนนี้ผมก็แค่ยังคงคิดแบบนั้นอยู่

วีไอระดับตำนานบอกว่าเราอย่าเป็นนายตลาดซะเอง
และบอกให้เราหาโอกาสจากนายตลาดที่อารมณ์ไม่ดี

ผมเองคิดว่าในภาวะที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูงแบบนี้นายตลาดอาจจะเกิดบ้าขึ้นมา discount หุ้นในตลาดลงจากตรงนี้อีกเยอะมากๆก็ได้ ซึ่งถ้าเกิดขึ้นผมก็รวยแน่

แต่ถ้านายตลาดเกิดใจดีแล้วราคาหุ้นขึ้นไปเยอะมากๆ ผมก็ไม่คิดอะไรมาก เพราะมองว่าโอกาสเกิดแบบนั้นมันน้อย ตอนนี้นักลงทุนกลัวกันทั้งนั้น เจอทุบลงมา 2-3 วัน เป็นร้อยๆจุด ขึ้นไปคนที่ติดหุ้นก็ขายออกมาทั้งนั้นแหละ ดังนั้นถ้าไม่มีจุดเปลี่ยนของเรื่องยุโรปอย่างชัดเจนผมคิดว่า probability ที่ set จะขึ้นมันน้อยกว่าเยอะ แถมภาวะแบบนี้ pbv 1.7เท่าภายใต้ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกที่สูงมาก ถ้าขึ้นไปสองเท่า นี้ก็ถือว่าแพงแล้วนะ pbv สองเท่าภายใต้เศรษฐกิจที่แย่อย่างนั้นเหรอ เป็นไปได้ยากหน่อย ดังนั้นผมจึงคิดว่าหุ้นเรานี้ถึงขึ้นได้ก็ขึ้นไม่มาก

จะว่าไปหลักการที่บัฟเฟตสอนไม่ได้มีแค่อย่าเป็นนายตลาดซะเอง แต่เขาบอกว่าให้คิดซะว่าชีวิตคุณมีโอกาสซื้อหุ้นได้ไม่เกิน 20 ครั้งก็พอ เขาทำนองไม่ต้องหวดทุกลูกแต่ให้หวดแต่ลูกที่มั่นใจ แต่ตลาดตอนนี้ผมไม่เห็นมีลูกมั่นใจได้เลยซักลูก

ขอสรุปอีกที คุณถามผมได้ว่าตลาดตอนนี้คุ้มค่าเสี่ยงไหม แต่อย่าถามผมว่า set จะไปเท่าไหร่ ตลาดจะดีหรือไม่ดี เพราะผมตอบไม่ได้

Comments (21)

เล่าเส้นทางการเรียนรู้ของผม(หัวข้อเบาๆ)

มีหลายท่านถามผมทางทวิตและทางอีเมล์ว่าอยากจะเริ่มศึกษาการลงทุนทำอย่างไรดี ผมเลยขอตอบโดยการเล่าให้ฟังว่าเส้นทางการเรียนรู้ของหุ้นเป็นมาเป็นไปอย่างไรบ้าง

แต่เดิมเลยผมเป็นเพียงเด็กอยากรวย สมัยเด็กผมชอบเล่นไพ่ยูกิ ผมก็หารายได้เสริมด้วยการนำไพ่ยูกิไปฝากขายตามร้านไพ่ เวลาผมเอาไปขายส่วนใหญ่แล้วผมแทบจะไม่เคยซื้อมาเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเป็นการใช้ไพ่สำหรับปลอมแล้วเดิมพันกับเพื่อนว่าใครชนะก็ให้ยึดไพ่จริงของอีกฝ่ายได้ โชคดีที่ผมเล่นไม่ค่อยแพ้ใครผมเลยได้ไพ่ยูกิมาเยอะแล้วก็นำไปฝากขายที่ร้านขายการ์ตูนสมัยเรียนอยู่ทิวไผ่งาม ทำๆไปซักพักก็อิ่มตัวไพ่ยูกิก็ไม่ค่อยเป็นที่นิยมก็ไม่รู้จะหารายได้ทางไหนดี ตอนเรียนอยู่ ม.หกก็มีเพื่อนมาบอกว่าเล่นหุ้นแล้วกำไร 50% ภายใน 2-3 เดือน มันบอกว่าลงทุน 1 แสนแค่ 2-3 เดือนก็ได้เงินมา 50000 หมื่น ก็รู้สึกสนใจมากและคิดว่าหน้าอย่างมึงยังได้ตังค์กูก็ต้องได้เหมือนกันสิว่ะ แต่ตอนนั้นพอเล่าให้ที่บ้านฟังก็ไม่ค่อยมีคนเห็นด้วย ก็เลยยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันได้แต่นั่งดูหนังสือพิมพ์ไทยรัฐไปวันๆว่าหุ้นตกเพราะอะไรหุ้นขึ้นเพราะอะไร ช่วงนั้นจำได้ว่าเคยเอาเงินไปซื้อทองเก็บไว้ 10 บาท ตอนนั้นประมาณปี 2547 เคยซื้อทองบาทละ 7300 ตอนขึ้นมา 7600 ดีใจแทบตายได้กำไร 300 บาท(แต่มี 10 บาทเลยกำไร 3000)แล้วก็รู้สึกว่าดีว่ะ ไม่ต้องไปนั่งขายไพ่ยูกิเหมือนตอนเรียนม.ปลายแล้ว ว่าแล้วก็คิดว่าถ้าทองลงไป 7300 อีกจะซื้ออีกรอบแล้วก็ขายอีก เล่นแบบนี้แหละรอบละ 3000 เล่นไปซัก 10 รอบก็กำไร 3 หมื่นแล้วที่ไหนได้แม่ม ไป 8000 กว่าแล้วไม่เคยกลับมาอีกเลย หลังจากนั้นก็เลยมาดูหุ้นต่อ ตอนนั้นถามเพื่อนว่าจะรู้ได้ไงว่าซ์้อตัวไหน มันบอกว่ากูซื้อตามน้ากู น้ากูบอกให้เข้าตัวนั้นกูก็เข้าตัวนั้น ผมก็บอกเหรอ ดีว่ะ แนะนำน้ามึงให้กูรู้จักบ้างสิ มันบอกว่าได้เลย และมันก็พาผมไปที่ห้องค้าของโบรกแห่งนึงที่เซ็นทรัลปิ่นเกล้า พอไปถึงมันก็แนะนำให้ผมรู้สึกน้าของมัน ผมเดินไปยกมือไหว้น้ามัน น้ามันก็ไม่ค่อยแลผมเลย ผมก็คิดในใจแลไม่แลช่างแม่มขอให้มึงบอกหุ้นกูก็พอ เสร็จแล้วผมก็ถามน้ามันว่าถ้าผมจะซื้อเข้าแล้วขายตอนบ่ายผมทำได้ไหม น้ามันก็บอกว่าทำได้ แต่น้ามันทำหน้าเซ็งๆใส่ผม ผมก็งงๆว่าคำถามผมมันผิดอะไร แล้วพอผมจะถามน้ามันต่อ น้ามันก็ไม่คุยกับผมบอกว่ามีธุระ แล้วเพื่อนผมก็ถามน้ามันว่าขอ บทวิเคราะห์อาทิตย์นี้ให้ฮงหน่อยได้ไหม น้ามันก็บอกว่าหมดแล้ว (หน้าบอกบุญไม่รับ) ผมก็งงๆ นึกว่าตัวเองเป็นคนขอทานกลับชาติมาเกิดก็เลยออกจากห้องค้าแบบหงุดหงิดแล้วก็คิดว่าไม่เป็นไรไปถามคนอื่นก็ได้ ว่าแล้วผมก็ไปถามคนอื่นในโบรกเดียวกันนี้แต่เป็นที่สาขาอื่นที่อยู่แถวบ้านผม ผมจำได้ว่าตอนเด็กๆ แทบไม่มีใครอยากคุยกับผม ผมเคยถามมาร์คนนึงว่าพรุ่งนี้หุ้นจะขึ้นหรือลง แล้วมันก็ตอบอย่างมั่นใจว่า “ขึ้น” ผมก็คิดว่าเออ ดีว่ะเราอยากมีความรู้แบบมาร์คนนี้บ้างจัง ปรากฏวันรุ่งขึ้นหุ้นแม่มลง ผมก็คิดในใจ อ้าว มั่วนี้หว้า เอี้ยนี้ ไม่รู้แล้วยังตอบกูมาอีก

จนถึงจุดนึงผมเริ่มรู้สึกว่าไม่เห็นมีมาร์คนไหนให้ความรู้อะไรผมได้เลย พวกนี้ไม่ค่อยอยากจะคุยกับผมด้วยซ้ำแล้วแถมถามว่าหุ้นจะขึ้นหรือลงก็บอกผิดเป็นส่วนใหญ่ ผมก็เลยนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ในห้องค้าเขาก็บอกว่ามีอบรมเรื่องกราฟ สอนโดยไอ้ฝรั่งคนหนึ่ง ผมก็รีบโทรไปจองมันก็บอกว่าให้ไปตอนบ่ายโมง bla bla bla ผมก็ไป ตอนไปนั่งฟังครั้งแรกไงมาก เพราะไอ้ฝรั่งพูดว่า วอยุ่ม วอยุ่ม ผมก็งงว่าอะไรว่ะ สรุปผมฟังแทบไม่รู้เรื่องเลยซักกะนิดเดียว แต่วันนั้นฟังเสร็จแล้วก็รู้สึกว่าวันหลังมาฟังใหม่ดีกว่า

แล้วผมก็พยายามจะตามฟังของไอ้ฝรั่งคนนั้นอีกแต่มันก็ไม่ค่อยสอนเท่าไหร่ ผมก็เลยหาของที่อื่นฟังจำได้เคยโทรไปของที่นึงเขาบอกไปฟังวันเดียว 8000 บาท ผมถึงกับตกใจมาก เพราะตอนนั้นพอร์ตลงทุนผมมีแค่ 1 แสนเอง ผมจ่ายตังค์ 8 พันไม่ไหวหรอก ผมอยากฟังฟรีๆอะ ของฟรีมีมะ แล้วในที่สุดของดีที่ฟรีก็มาถึงจนได้ งาน set in the city ที่มีการจัดที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตต์ 4 วันติด ลักษณะงานจะเป็นตั้งแต่วัน พฤษหัสจนถึงวันอาทิตย์ ผมจำได้ว่าผมตื่นเต้นมาากๆๆ ผมพยายามจัดเวลาว่าผมจะไปฟังของห้องไหนบ้าง สมัยนั้นมีอบรมแบบ meeting room 3 ห้อง ผมก็ต้องดูตารางเวลาว่าหัวข้ออันไหนน่าสนใจที่สุดแล้วก็ซื้อเครื่องอัดเทปมาแล้วก็ไปนั่งฟังผมจำได้ว่าส่วนใหญ่ผมจะนั่งหน้าสุด แต่ละวันกลับมาบ้านผมก็เอาเสียงที่อัดมาลองคอมพิวเตอร์แล้วใส่ชื่อไฟล์ว่าไฟล์เสียงนี้เป็นเนื้อหาอะไร แล้วผมก็จะนั่งทอดเทปโดยการนั่งจดเกือบทุกคำพูดของไฟล์เสียงมาลงสมุดลงทุนของผม แล้วมีเวลาเมื่อผมเปิดคอมพิวเตอร์เล่น internet ผมจะเปิดไฟล์เสียงฟังตลอดเวลา ผมทำแบบนี้อยู่หลายปีมากๆ ผมฟังจนผมรู้เลยว่าถ้าคนบรรยายพูดประโยคนี้จบจะพูดประโยคไหนต่อ แล้วตอนฟังมีเสียงผมหัวเราะช่วงไหนบ้าง การไปงาน set in the city แล้วฟัง 4 วันแล้วถอดเทป ช่วยให้ผมเรียนรู้ไปได้เยอะมากในช่วงแรกๆ ช่วงนั้นเวลาผมเข้าไปที่ห้องค้าผมก็ไมค่อยคุยกับมาร์เท่าไหร่ เพราะตอนนั้นผมเริ่มรู้สึกว่ากูขยันกว่ามึงอีก กูน่าจะรู้เยอะกว่ามึงแล้วนะตอนนี้อะ (ฮา)

จริงๆตอนที่ผมเด็กๆว่าผมไปถามใครผมจะโดนเมินบ่อยมาก ผู้บรรยายมักไม่ค่อยเห็นหัวผม เขาชอบคุยกับผู้ใหญ่ที่ดูท่าทางพอร์ตน่าจะใหญ่ ถามว่าผมโกรธไหม แรกๆก็โกรธและรู้สึกว่าไอ้พวกหน้าเงิน แต่ต่อมาผมก็เริ่มไม่โกรธเท่าไหร่ เพราะผมเริ่มเข้าใจว่าถ้าพวกผู้ใหญ่บางคนพอร์ตหลายสิบล้าน ถ้าเทียบกับพอร์ต 1 แสนของผมในตอนนั้นแล้ว ถ้าผมเป็นวิทยากรผมก็คงจะเลือกคุยกับคนที่ดูมีราศีกว่าเพราะนั้นหมายถึงวอลุ่มของบริษัทที่มากกว่า และผมก็เริ่มรู้สึกว่าคอยดูเถอะซักวันกูจะเก่งและรวยจนพวกมึงนั้นแหละต้องมาคุยกับกูก่อน และผมก็มุ่งหน้าศึกษาของผมต่อไป

ในช่วงอยู่มหาลัย ผมซื้อหนังสือเกี่ยวกับหุ้นทุกเล่มที่มีอยู่ที่ se-ed มาอ่านตอนแรกๆอ่านก็รู้สึกว่าทำไมทุกคนดูเทพ แต่อ่านไปจนถึงจุดนึงก็รู้สึกว่าบางคนแม่ม เขียนมั่วฉิบหายไม่มีหลักการเอี้ยอะไรเลยกูซื้อมาอ่านทำไมว่ะ แล้วผมก็เริ่มรู้ว่าผมรู้อะไรบ้างและผมไม่รู้อะไรบ้าง พออ่านหมด ผมก็ไปเป็นสมาชิกห้องสมุดมารวยแล้วก็ไปยืมหนังสือต่างประเทศที่มารวยมาอ่าน จำได้ว่าตอนนั้นยืมมาอ่านเยอะมาก จนถึงจุดนึงก็อิ่มตัวว่าไม่รุ้จะอ่านอะไรมากมายนักหนา

ผมก็เริ่มหันมาศึกษาพื้นฐานหุ้นรายตัวและลองคิดประเด็นต่างๆออกมา และเมื่อยิ่งศึกษาก็ยิ่งเกิดคำถามทำให้ผมไปโพสถามในเว็บกระทิงเขียว ซึ่งเป็นที่มาของคุณ ih ภาคต่างๆถึงกว่า 300 คำถาม ผมค้นพบว่าหลังจากที่เราอ่านหนังสือเข้าไปเยอะๆแล้วเราก็ต้องมาลงสนามจริงและเมื่อลงสนามจริงแล้วเรายังไม่เชี่ยวชาญเราก็จำเป็นต้องถามผู้เชี่ยวชาญ ระหว่างที่ถามไปเรื่อยๆ ผมเองก็เริ่มตกผลึกทางการลงทุนมากขึ้น

เมื่อถามจนเริ่มอิ่มตัวสิ่งที่ผมทำต่อมาคือ ผมก็เริ่มเรียนรู้จากการทำวิจัยของตัวเอง อย่างเรื่องหุ้นสิบเด้งที่ผมเคยเปิดสอนก็คล้ายๆกับการนำงานวิจัยของผมเองมาให้คนได้เปิดหูเปิดตา ตอนผมทำต้องยอมรับว่าหาข้อมูลยากมาก ว่าแต่ละเดือนข้อมูลเป็นไง ณ จุดที่เห็นงบรายไตรมาสนั้นๆหุ้นตัวนั้นน่าลงทุนหรือยัง เรียกว่าผมอาบเหงื่อต่างน้ำทีเดียวกว่าจะทำงานวิจัยของตัวเองออกมาได้ซักชิ้น ระหว่างที่ทำผมเคยรู้สึกว่าเรากำลังหลงทางหรือไม่ ใน ขณะที่คนอื่นๆนั่งหาหุ้นกันทำไมเราต้องมานั่งขุดอดีตที่มันผ่านไปแล้ว เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงนิทานเรื่องคนตัดฟืนกับขวานของเขา ผมคิดว่าการหาหุ้นใหม่ๆตลอดเวลาก็เปรียบเหมือนคนตัดไม้ที่เข้าป่าไปตัดไม้ทุกวัน แต่จริงๆแล้วขวานที่เขาเอาไปตัดไม้ถึงจุดนึงมันก็จะทื่อไม่คมเท่าไหร่ ดังนั้นการออกไปตัดไม้จึงต้องทำคู่กับการลับขวานให้คมตลอดเวลา การนั่งศึกษา case study ในอดีตเพื่อเข้าใจหลักการเลือกหุ้นในอนาคตก็เปรียบเหมือนการลับขวาน อย่างในตอนนี้ผมเองก็กำลังทำ project อันใหม่อยู่ ทำไปด้วยดูหุ้นไปด้วย ต้องยอมรับว่าเดี่ยวนี้เวลาค่อนข้างน้อยไม่ค่อยได้เล่นทวิตและไม่ได้เล่นเว็บบอร์เท่าไหร่ ถ้าพอมีเวลาก็จะมาเขียนบล็อกบ้าง

สรุปคือ ผมคิดว่าถ้าใครเป็นมือใหม่ในตลาดหุ้นสิ่งที่คุณควรทำช่วงแรกๆคือ ไม่ต้องคิดเรื่องหาหุ้นเลย ให้คิดเรื่องศึกษาหาความรู้อย่างเดียว เปรียบเหมือนตอนนั้นขวานของคุณยังทื่อมากๆเรียกว่าไม่มีทางตัดไม้ได้เลย คุณต้องนั่งลับขวานของตัวเอง คุณอย่าไปเชื่อถ้ามีคนมาบอกว่า ขวานทื่อของคุณก็ตัดไม้ได้ ลองไปที่ป่า xxx สิ แบบนี้ก็เหมือนกับการไปยืมจมูกคนอื่นหายใจซึ่งไม่มีใครยอมให้คุณยืมจมูกเขาหายใจหรอก ก็เหมือนผมตอนพอร์ต 1 แสนเป็นเด็กปีหนึ่ง ไปที่ไหนก็ไม่มีใครสนใจ ไปที่ไหนก็ไม่มีใครต้อนรับ เมื่อคุณอ่านหนังสือเยอะมากพอแล้ว คุณก็เดินทางไปอบรมสัมนาต่างๆแล้วก็ค่อยหาผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญถามแล้วก็ค่อยทำวิจัยเป็นของตัวเอง

Comments (35)

link ของผมที่ออกรายการถอดรหัสเซียนเมื่อหลายเดือนก่อนครับ

ตอนที่ 1

ตอนที่2

คอนที่3

หวังว่าจะพอได้หลักการความรู้กันบ้างไม่มากก็น้อยนะครับ

Comments (13)

ขอแจ้งข่าวเรื่องเปลี่ยนสถานที่สำหรับงานวันที่ 28 กันยายนครับ

ก่อนหน้านี้ที่บอกว่าวันที่ 28 นี้ผมกับพี่ boo ประธานเว็บ tvi จะไปพูดที่ห้องสมุดมารวย พอดีมีคนสนใจแล้วโทรไปจองที่นั่งจนล้นเลยทำให้เขาต้องเปลี่ยนสถานที่เป็นห้องโถงตลาดหลักทรัพย์ชั้นหนึ่งครับ ตรงตลาดหลักทรัพย์จะสามารถจัดที่นั่งเพื่อรองรับผู้ฟังได้มากกว่าในห้องสมุดน่ะครับ เลยมีการเปลี่ยนแปลงสถานที่ โปสเตอร์วันเวลาล่าสุดและสถานที่ที่มีการ update คืออันนี้ครับ

ทางเจ้าที่บอกว่าจะมีเกมส์ให้ร่วมสนุกและมีของรางวัลเป็นหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนด้วยนะครับ อย่าลืมไปร่วมงานให้ได้นะครับ

Comments (8)

ทศษวรรคแห่งความผันผวน

ผมคิดว่าทุกวันนี้จุดที่นักลงทุนยืนอยู่กำลังยืนอยู่ในทศวรรษที่ตลาดหุ้นเป็นยุคที่ผันผวนมากๆ ถ้าเราท้าวความกลับไปถึงปัญหา subprime ที่เกิดจากฟองสบู่ราคาบ้านเพราะมีคนเก็งกำไรกันอย่างหน้ามืดตามัวและมีคนคิดค้นตราสาร cdo cds mbo และอะไรอีกหลายอย่างขึ้นมา สิ่งเหล่านี้ได้ทำให้ราคาบ้านเกิดฟองสบู่ขึ้นมาและเมื่อฟองสบู่ราคาบ้านแตกลงก็ทำให้ธนาคารต่างๆที่ดันบ้าจี้ไปซื้อตราสารพวกนี้เอาไว้แล้วก็คำนวนโดย model ทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนว่ามีความน่าจะเป็นน้อยมากๆๆๆๆ ที่จะขาดทุน เมื่อปรากฏการณ์ black swan เกิดขึ้นก็ทำให้ผู้ถือตราสารเหล่านี้ขาดทุนมหาศาลและต้องเกิดการขายสินทรัพย์ทั่วโลกทำให้หุ้นตกอย่างรุนแรงมากๆ

เหตุการณ์ในปี 2008 นับเป็นสิ่งที่เกินคาดทุกคนหุ้นลงแบบบ้าเลือดบ้าระห่ำลงแบบตายกันไปข้างจำได้ว่าภายในไม่เกิน 3 อาทิตย์มีเซอกิจเบรกเกอถึง 2 ครั้งหลายคนที่เจอเหตุการณ์ในตอนนั้นยังหลอนมาถึงทุกวันนี้

ประเด็นคือเหตุการณ์ครั้งนั้นจริงๆแล้วพื้นฐานของประเทศไทยไม่ได้เปลี่ยนเท่าไหร่หลายบริษัทกำไรไม่ลดลงเลย หลายบริษัทกำไรสูงขึ้นด้วยในปี 2009 แต่อย่างไรก็ตามหุ้นลงแบบตายกันไปข้างนึง เหตุการณ์ในตอนนั้นทำให้หลายคนถึงกับออกไปจากตลาดหุ้นหรือหุ้นที่หลายคนติดก่อนปี 2008 ทุกวันนี้ก็ยังไม่ลงจากดอยเลยด้วยซ้ำ แต่อีกหลายคนที่เจอเหตุการณ์เดียวกันก็รอดมาได้และกลับมายิ่งใหญ่กว่าเดิม

คนที่ไม่รอดนั้นน่าจะเป็นเพราะว่าไปเล่นมาร์จิ้นหุ้นผิดตัวเลยทำให้พอร์ตลดลงมากจนไม่สามารถกลับไปที่เดิมได้ง่ายๆ หลายคนที่ไม่เล่นมาร์จิ้นแล้วถือพวกหุ้นค้าปลีกก็เจ็บตัวในระดับนึงในตอนหุ้นลงแต่หุ้นเหล่านี้มักจะลงไม่มากเมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มอื่นสุดท้ายหุ้นพวกเขาก็กลับมาได้และพวกเขาก็ได้ปันผลสม่ำเสมอพวกเขามักจะพูดว่า เศรษฐกิจเหรอ ดูไปทำไมคุณมองว่าหุ้นตัวนี้จะโตไปได้หลายๆปีในระยะยาวก็พอแล้ว คนเหล่านี้มีมุมมองว่าการติดตามตัวเลขเศรษฐกิจมากๆเป็นเรื่องที่นักลงทุนแนวปัจจัยพื้นฐานไม่ควรทำ มุมมองนี้ไม่มีผิดหรือถูกแต่จริงๆแล้วมันขึ้นอยู่กับสไตล์การเล่นหุ้นและประเภทของหุ้นที่ลงทุน ถ้าคุณเล่นหุ้น ยานยนต์ อิเล็กทรอนิก คอมโมดิตี้ แล้วคุณบอกว่าคุณไม่จำเป็นต้องดูเศรษฐกิจ eu usa มากว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นผมว่าแบบนี้คุณเข้าข่ายมีความเสี่ยงจะสูญเสียเงินต้นอย่างหนัก
เนื่องจากว่าถ้าเศรษฐกิจ eu usa แย่ขึ้นมาหุ้นที่คุณถืออยู่จะถึงขั้นขาดทุนได้และหุ้นของคุณจะลงแรงมาก ดังนั้นภาวะเศรษฐกิจจึงมีผลต่อกำไรและราคาหุ้นของคุณสูงมาก คุณจึงไม่สามารถทำแบบนักลงทุนหุ้นที่ถือแต่หุ้นค้าปลีก โรงพบาบาล หรือ กองทุนอสังห แล้วบอกว่าไม่ต้องตามเศรษฐกิจมากได้

ในภาวะตอนนี้ eu ก็จะแย่ลงเรื่อยๆเพราะล่าสุดกรีซประกาส gdp ออกมาว่า -5% และกรีซก็ยอมรับแล้วว่าไม่สามารถทำตามข้อตกลงของ imf ได้ bond yield ของกรีซยังคงนิวไฮต่อไป และ bond yield ของประเทศ pigs ก็นิวไฮเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นทาง eu ก็มีระเบิดเวลาเป็นลูกๆรอเราอยู่ตลอด

ผมคิดว่าจริงๆแล้วภาวะตลาดหุ้นตั้งแต่มีเรื่องราคาบ้านฟองสบู่ของ usa แล้วก็แก้ปัญหาด้วยการฉีดเงิน โดย qe 1 นั้นทาง fed จะเข้าไปรับซื้อ mbo cdo เพื่อจะทำให้ balance sheet ของธนาคารดีขึ้นและธนาคารจะได้ปล่อยกู้มากขึ้นแต่กลายเป็นว่าธนาคารก็ไม่มั่นใจจึงเอาเงินไปซื้อ treasury แทนกลายเป็นภาคเศรษฐกิจจริงก็ไม่ฟื้นเท่าไหร่ ก็เลยออก qe 2 แล้วเอาเงินไปซื้อ treasury ซะเลยเพื่อกดดอกให้ต่ำๆพวกแบงค์จะได้เอาเงินไปปล่อยกู้แต่ก็ปรากฏว่าไม่ค่อยเวิกเท่าไหร่ ตัวเลขเศรษฐกิจของ usa ไตรมาสล่าสุดคือ 1% และคงจะน้อยลงอีกในครึ่งปีหลัง เมื่อกบวกกับปัญหาทาง eu ที่พร้อมจะปะทุออกมาผมคิดว่าการลงทุนในหุ้นต่อจากนี้จะไม่หมูเหมือนอย่างสองปีก่อน จริงๆแล้วปัจจัยพื้่นฐานของประเทศไทยผมคิดว่าดีมาก ถ้าเมืองนอกไม่แย่ผมคิดว่าหุ้นไทยน่าจะ sideway up ขึ้นไปได้เรื่อยๆเลย แต่เมืองนอกก็แย่พอควรผมเลยคิดว่าถ้า usa แค่ slow down และไม่ถึงกับ recession และ eu ยังประคองปัญหาไปเรื่อยๆ หุ้นไทยที่ปัจจัยพื้ันฐานดีจริงก็คงจะค่อยๆขึ้นได้ แต่ถ้า eu เกิดปัญหาบางอย่างขึ้นหนักๆ ผมคิดว่าหุ้นเราก็ลงได้เยอะมาก

ที่เป็นตั้งชื่อหัวข้อว่าทศวรรษแห่งความผันผวนเพราะว่า ปี 2008 หุ้นลงเละ 2009-2010 หุ้นขึ้นกระจาย ปี 2011 หุ้นเหวี่ยงแรงมาก และปัญหาของทาง eu แล้วถ้าศึกษาในเชิงโครงสร้างก็ดูไม่ค่อยมีทางออกง่ายๆ ทางออกอย่างนึงคือ eu bond แต่ทางประเทศที่เสียดอกต่ำๆก็คงไม่ยอม มีคนบอกว่าถ้าโดนบีบมากๆเกิดเยอร์มันออกจาก eu ขึ้นมาจะทำไง (ถ้าเยอร์มันออกจาก eu ผมว่าคุณเลิกเล่นหุ้นไปหลายเดือนได้เลย ไปเที่ยวต่างประเทศเลยก็ได้เดี่ยวผมช่วยหาทัวให้) จะเห็นว่าความผันผวนอย่างมหาศาลของตลาดทุนใน 3 ปีที่ผ่านมาเกิดจากนวัตกรรมทางการเงินบ้าๆบอๆของพวก financial engineering ที่คิดค้น product อย่าง cdo cds ขึ้นมา และพวก ib bank ที่โลภมากอยากได้กำไรก็เข้าไปซื้อเอาไว้ ทำให้เกิดปัญหาวิกฤติเสร็จแล้วก็แก้ปัญหาด้วยแการพิมพ์เงินซึ่งภาคเศรษฐกิจจริงไม่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งมาก และทาง eu ก็เกิดจากการที่ตอนร่วมกลุ่ม eu เข้ามีเกณฑ์ในการเข้า eu ที่เข็มงวดมาก เพราะยุโรปก็ยัดๆๆๆๆประเทศที่พื้นฐานประเทศไม่แข็งแกร่งพอเข้ามาในกลุ่ม eu แล้วทำให้มีปัญหาอย่างทุกวันนี้ ประเทศบางประเทศก็ให้วาณิชธนกิจตัวย่อ g ไปช่วยคิดค้นวิธีการซ่อนหนี้ของประเทศด้วยรูปแบบแปลกๆแล้วเรื่องก็ค่อยมาแดงตอนหลังว่าจริงๆแล้วหนี้สาธารณะเยอะมากกว่าที่คิดไว้มากๆ จะเห็นได้ว่าความเลวร้ายของปัญหาทุกวันนี้เกิดจากความมักง่าย ความโลภ ความขี้โกงหน้าด้านๆของคนกลุ่มต่างๆ ซึ่งเราในฐานะนักลงทุนก็คงต้องรับมือกับช่วงเวลาที่ความผันผวนสูงมากและโลกมีความเป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น ทฤษฏี decouple นั้นเราคงเห็นกันแล้วว่าไม่มีจริงหรอก ดาวโจนตก 500 จุดเราก็ลงเละ เอเซียไม่ได้แยกออกจาก usa eu ได้หรอก

นักลงทุนที่ดีควรรู้ว่าภาพใหญ่ของตลาดทุนในช่วงที่ตัวเองลงทุนกำลังเข้าสู่ยุคอะไรและวางแผนรับมือกับความไม่แน่นอนต่างๆให้ดีและผมเชื่อว่านักลงทุนที่สามารถฉกฉวยโอกาสจากความผันผวนได้ (ใช้ประโยชน์จากนายตลาด) สุดท้ายแล้วก็จะรวยขึ้นท่ามกลางความผันผวนครับ ผมเองเป็นคนรุ่นใหม่ใจร้อนไฟแรง ผมยังมีไฟแรงมากดังนั้นผมจึงต้องติดตามภาวะเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดและติดตามข้อมูลหุ้นรายตัวอย่างใกล้ชิดไปด้วยเพื่อที่ว่าถ้าเกิดวิกฤติ eu ขึ้นมาผมอยากจะกำไรจากการช็อตหุ้นที่เสียประโยชน์และอยากไปเก็บของถูกสุดๆตอนเศรษฐกิจฟื้นตัว (ถ้าไม่ได้ติดตามอย่างใกล้ชิดคงเก็บหุ้นฟื้นตัวไม่ได้)

สรุป ผมเป็นคนไฟแรงสูงครับ 5555

Comments (17)

upload เอกสารเรื่อง eu crisis ที่มีการสอนวันนี้ครับ

download เอกสารได้ที่นี้เลยครับ

Click to access Euro_and_US_Crisis.pdf

รูปบรรยากาศในงานครับ

ตัวอย่างเอกสาร

หน้าปก

เรื่อง fundflow

เรื่อง eu crisis

เรื่อง usa crisis

Comments (17)

วิกฤติหรือไม่วิกฤติ

เมื่อหลายอาทิตย์ก่อนผมเขียนเรื่องให้หาหุ้นที่ไม่ได้รับผลกระทบจากยุโรปและอเมริกาไว้ก่อน ส่วนพวกหุ้นอิเล็กทรอนิกก็ให้หลีกเลี่ยงไว้ ปรากฏว่าหุ้นอิเล็กก็ลงกันเละเทะ (ขอ claim 555)

ตอนนี้ภาพค่อนข้างชัดเจนมากขึ้นว่า set แย่ลงเรื่อยๆ จากที่เคยเลือกหุ้นแกร่งตอนนี้ก็หาแกร่งแทบไม่ได้

ถ้าพูดตาม technical ตอนนี้เซทเป็นหมีไปแล้วครับ

เส้นสีเหลืองนี้คือเส้น sma 200 วันครับ
จะเห็นได้ว่าตั้งแต่ set ช่วงต้นปี 2009 set ไม่เคยเทรดต่ำกว่าเส้น 200 วันเลยเป็นเวลาสองปีกว่าแต่ล่าสุดนี้ set ได้หลุดเส้น 200 วันแล้วครับ
โดย commonsense แล้ว 200 วันเป็นการเทรดเกือบๆหนึ่งปี คำถามก็คือว่าถ้าหุ้นเป็น bull ราคาควรจะอยู่เหนือค่าเฉลี่ยเกือบหนึ่งปีจริงไหม แล้วสองปีกว่าที่ผ่านมามันอยู่เหนือมาโดยตลอดแต่วันนี้มันหลุดแล้วแบบนี้คุณคิดว่า set เป็นไง
แข็งแรง หรือ อ่อนแอ

ส่วนรูปนี้ดูคล้ายๆ หัวกับไหล่แต่ประเด็นคือมันเพิ่งหลุดโลว์เดิมลงมา
การที่หุ้นลงมาแรงๆแล้วเด้งขึ้นไปแล้วเด้งได้แป๊ปเดียวแล้วหลุดนิวโลว์เลย
แล้วโลว์ตรงนั้นก็มีเส้น 200 วันที่หลุดไปด้วย
คุณคิดว่าแบบนี้ ดีหรือไม่ดีครับ

ในมุมของเทคนิคก็พูดตรงๆว่าแย่มากครับ
ถ้าเซทจะดูดีขึ้นก็ควรกลับขึ้นไปเทรดเหนือเส้น 200 วันและเหนือ 1033 ให้ได้ซะก่อนครับ

จบเรื่องเทคนิคมาต่อเรื่องอื่นกันครับ

หลังจากที่ dow jone ลงแรงมากๆ สิ่งที่เราได้เห็นคือ dow jone มีความผันผวนแรงขึ้น ซึ่งสิ่งนี้มีความคล้ายกับอาการสมัย subprime ก็คือเหวี่ยงแรงแบบผิดปกติแล้วหุ้นลงมาเรื่อยๆ ราคาน้ำมันลงมาเรื่อยๆ

หลายโบรกเกอร์พูดว่า หุ้นไทยดีเพราะมีการปรับประมาณการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน แต่ประเด็นคือ ตัวเลขคาดการณ์ของพวกเขาได้ปรับสมมุติฐานไว้หรือไม่ว่าหุ้นกลุ่มพลังงานจะกำไรแย่ลงมากจากราคาน้ำมันที่ลดลง สมัย subprime เวลาราคาน้ำมันลดเยอะๆกำไรของบริษัทจดทะเบียนหายเร็วมากเพราะ โรงกลั่นโดน stock loss กันหนัก หุ้นปิโตรเคมีไม่ต้องพูดถึง spread หายเรียบ pttar เคยลงจาก 50 เหลือ 7 บาทในเวลาไม่กี่เดือน pttch เคยลงจาก 139 เหลือ 23 บาท

ถ้าเราดูอาการหุ้น commodity หลายๆตัวในตลาดไทยตอนนี้น่ากลัวพอควรเช่่น banpu ivl การที่หุ้นพวกนี้ลงลูกเดียวมันบ่งบอกอะไรกับเราได้ไหม

หลายวันมานี้เซทพยายามที่จะเขียวก็เขียวได้แค่ระหว่างวันแล้วก็โดนกระหน่ำขายจนปิดน่าเกลียดมาก มันบ่งบอกถึงการทิ้งที่แทบจะไร้เรี่ยวแรงในการสวน การซื้อสวนนั้นทำให้เซทบวกได้น้อยและแค่แป๊ปเดียวแต่แรงขายหนักหน่วงมาก

เรามาพูดกันถึงเรื่อง double dip ตอนนี้หลายคนกลัวว่าเศรษฐกิจของ eu usa จะมี double dip ซึ่งถ้าเกิดขึ้นจริงคงต้องพูดว่า set ยังลงได้อีกเยอะมาก เนื่องจาก usa ตอนนี้ดอกเบี้ยก็ต่ำสุดแล้วอย่างสมัย subprime พอหุ้นลงเยอะๆประกาศลดดอกเบี้ยหุ้นก็เด้งได้บ้างพอดอกเบี้ยถึงจุดต่ำสุดแล้วอัดฉีดเงินหุ้นก็เป็นขาขึ้นแต่ตอนนี้ดอกเบี้ยก็ต่ำสุดแล้ว qe สองครั้งก็ดูจะไม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากนักถ้าเกิดเศรษฐกิจ usa แย่แล้วเขาจะหาอะไรมากระตุ้นล่ะ

จากรูปเราจะเห็นได้ว่าการอัดฉีดเงินนั้นถ้าเราแยกออกมาจากภาคเศรษฐกิจจริง เศรษฐกิจจริงๆไม่ได้ดีขึ้นเลยจากมาตรการ qe การอัด qe เพียงแต่ทำให้หุ้นขึ้นเท่านั้นเอง

การแก้ปัญหาของ eu ทำได้ยากเนื่องจากไม่ใช่ประเทศเดียวแต่เป็นกลุ่มที่การช่วยเหลือกันก็มักจะไม่ไปทางเดียวกัน มักจะคิดถึงผลประโยชน์ตัวเองเอาไว้ก่อน อย่างปัญหาของกรีซถ้าเราตามดูก็คงจะรู้ว่าเป็นการแก้ปัญหาแบบลวกๆไปงั้นแหละ
(รูปต่อไปนี้มาจากผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศหมอ mprandy )

จะเห็นได้ว่าภาวะต่อจากนี้หนี้ท่วมหัวของกรีซจะมีโอกาสเกิดอะไรขึ้นบ้างซึ่งในส่วนที่เป็นสีเขียวแทบจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้ เนื่องจากทุกวันนี้กรีซมีหนี้เป็น 160% ของ gdp แค่จ่ายดอกเบี้ยระดับ 10% ก็ จ่ายดอกปีละ 16% ของ gdp กรีซจะเอาปัญญาที่ไหนมาจ่าย ฟันธงเลยว่ากรีซมันไม่มีปัญญาจะจ่ายแน่ๆๆๆๆๆๆ

ล่าสุด bond yield ของกรีซก็สูงทำนิวไฮ

อันนี้เป็นวงจรอุบาทมากๆครับ เพราะว่าเพราะว่า ปท มีปัญหาก็ยิ่งต้องจ่ายดอกแพงเพราะคนไม่เชื่อแล้วประเทศก็ยิ่งแย่เพราะจ่ายดอกไม่ไหวก็ยิ่งมีหนี้เสียมากขึ้นแล้วก็ยิ่งแย่ลงไป วงจรอุบาทว์ที่ดูจะไม่จบสิ้นง่ายๆ

ทางเลือกอื่นที่เหลืออยู่อย่างการออกจาก euro ก็เป็นทางเลือกที่แย่มากเพราะถ้าออกจาก euro ตอนนี้ต้องไม่มีใครเชื่อถือในสกุลเงินของกรีซอยู่แล้วกรีซประเทศคงแทบล้มละลายเลยทีเดียวแล้วถ้ากรีซเป็นอะไรไปล่ะก็คนที่ถือหนี้กรีซเยอะๆก็จะซวยกันตามๆกันไปดังรูปนี้

สถาบันการเงินของฝรั่งเคสกับเยอร์มันจะเจอจัดหนักชนิดที่ตายกันไปข้างนึงเพราะถือหนี้กรีซเอาไว้เยอะมากๆ ซึ่งถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นก็นรกแน่นอน

ถึงนาทีหลายคนคงไม่แน่ใจว่าจะเกิด recession หรือไม่
ผมคิดว่า valuation ในสองปีที่ผ่านมาของไทยเป็น valution ระดับ premium เป็นการคาดการณ์ growth ในอนาคตอีกหลายปีข้างหน้าแล้วเล่นกันล่วงหน้า ถ้าเกิดว่าเศรษฐกิจโลกเกิด recession ขึ้นมา valution จะหดตัวเยอะมาก เรียกว่ากำไรลดไม่พอ ตลาดกด pe ลงไปอีกเยอะด้วย สมัย subprime หุ้นลงจนกระทั่งมีหุ้น pe 3-4 เต็มตลาด ซึ่งถ้าเรามองที่ value ปัจจุบันนี้คงพอนึกออกได้ว่า ถ้าเกิด recession ขึ้นมา หุ้นตอนนี้จะลงได้เยอะมากแค่ไหน แต่ถ้าไม่เกิดขึ้นมา valuation ตอนนี้ก็ถือว่าหลายตัวไม่ได้ถูกอะไร และผมคิดว่าเรื่องของ europe คงจะระเบิดออกมาเป็นพักๆเมือประเทศสำคัญต่างๆถึงกำหนดชำระเงินกู้ก็จะกดดันตลาดเรื่อยๆ ผมไม่คิดว่าหุ้นเราจะขึ้นได้เท่าไหร่ถ้าไม่เกิด recession แต่ถ้าเกิดผมคิดว่ามันลงได้ลึกมากๆจากตรงนี้

หลายคนอาจจะมองว่ากำไรของบริษัทจะทะเบียนไตรมาสล่าสุดก็ไม่ขี้เหร่หุ้นลงก็น่าจะเป็นโอกาสสิ แต่จริงๆแล้วตลาดเขามองไปข้างหน้าถ้าเศรษฐกิจจะแย่จริงหุ้นจะลงล่วงหน้าก่อนกำไรจะประกาสออกมาแย่สมัยปี 2008 หุ้น peak เดือน 6 แต่ gdp ที่ประกาสติดลบประกาสออกมาใน q4 08 ซึ่งข้อมูลนี้เราคงได้ตอนเดือนมีนาคม 2009 ถ้ารอ gdp เราก็ตายไปก่อนแล้วล่ะครับ

สิ่งที่ผมเขียนมาทั้งหมด เป็นเพียงมุมมองส่วนตัวของคนที่เคยเจอตลาดตอน subprime และหนีตายแทบไม่ทัน ผมมีความรู้สึกว่าสภาพตอนนี้มีหลายอย่างคล้ายตอน subprime พอควร และ ความเสี่ยงที่จะะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยก็มีในระดับนึง ดังนั้นการระมัดระวังติดตามข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ การย้อนกลับไปดูเรื่องราวตอน subprime น่าจะช่วยให้เราบริหารความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนในกรณีที่เกิด recession ขึ้นมาได้ก็ได้ครับ

หลายคนยังถือหุ้นอย่างไม่หวั่นแกรงปัญหารอบตัวเพราะว่าไปถามผู้บริหาร ผู้บริหารทุกคนก็บอกว่าบริษัทของตัวเองขายสินค้า niche market ประเทศที่ส่งออกไม่ค่อยเกี่ยวกับปัญหายุโรปแล้วเป็นไงครับหุ้นพวกนี้ก็ลงเละเทะ มีผู้บริหารบริษัทไหนไหมครับที่ออกมาบอกว่า บริษัทผมแย่แล้วได้รับผลกระทบเต็มๆไม่มีหรอกครับ ไม่มีพ่อค้าส้มที่ไหนบอกว่าส้มของตัวเองไม่หวานฉันใด ก็ไม่มีผู้บริหารพูดถึงข้อเสียของตัวเองฉันนั้น แล้วเป็นไงครับบริษัทที่บอกว่าไม่กระทบๆ หุ้น 2 อาทิตย์ที่ผ่านมาลงมาเกิน 20% แล้ว นักลงทุนต้องช่วยตัวเองเวลาภาวะต่างๆไม่แน่นอนต้องบริหารความเสี่ยงด้วยตัวเอง ไม่ใช่ไปเชื่อเพราะผู้บริหารบอกว่าไม่กระทบ คุณต้องลองย้อนกลับไปดูว่าสมัย subprime บริษัทเคยขาดทุนไหม กำไรลดแค่ไหน แล้วคุณจะรู้ว่าไอ้พวกผู้บริหารแนวพ่อค้าส้มหลายคนมันก็พูดมั่วๆไปงั้นแหละว่าบริษัทมันไม่กระทบ สุดท้ายพอคุณขาดทุนหนักๆคุณก็ด่าผู้บริหารว่า นี้ไงไหนแม่มบอกว่าบริษัทไม่กระทบ ไม่กระทบบ้านมึงสิ ห่านนนนี้้ ขาดทุนเลยไตรมาสนี้ แล้วไงคุณด่าเขาแล้วคุณได้เงินคืนไหม ก็ไม่ได้จริงไหม คุณไม่มีสิทธิ์ด่าใครทั้งนั้นนะครับ ถ้าคุณขาดทุน คุณอย่าซี้ซํวัะซื้อหุ้นแล้วไปถามคนอื่นว่าคุณติด บ้านปู 800 ทำไงดี ไม่มีใครช่วยคุณได้หรอกครับ อยู่ในตลาดหุ้นอย่าหูเบา ต้องหาข้อมูลด้วยตัวเอง

โชคดีครับ บริหารความเสี่ยงให้มากๆเข้าไว้ครับ

-ในวันที่ชีวิตเดินเข้ามาถึงจุดเปลี่ยนจนคนเราไม่ทันได้ตระเตรียมหัวใจ

(ในวันที่ตลาดหุ้นเดินเข้ามาถึงจุดเปลี่ยนจนคนเราไม่ทันได้ตระเตรียมหัวใจ)

-เพราะชีวิตคือชีวิตเมื่อมีเข้ามาก็มีเลิกไป

(เพราะชีวิตคือชีวิตเมื่อมีกระทิงก็มีหมีควาย)

สุดท้ายหุ้นอาจจะไม่ลงแล้วก็ได้ไม่มีใครรู้ ผมก็เพียงแต่เขียนถึงการบริหารความเสี่ยงและพูดถึงข้อมูลเชิงมหภาคเท่านั้นเองครับ

Comments (20)

ทำไมคนส่วนใหญ่ถึงเล่นหุ้นไม่ประสบความสำเร็จ

หัวข้อในบล็อกวันนี้เบาๆ ไม่ใช่เชิงวิชาการหลักการคิดอะไร แต่อยากจะมาแชร์ถึงประสบการณ์ส่วนตัวที่ได้เจอกับคนในตลาดหุ้น ว่าในมุมมองของผมทำไมคนส่วนใหญ่เล่นหุ้นแล้วไม่ประสบความสำเร็จ

ผมว่าเรื่องแรกเลยคือ หลายคนยังบอกว่าการเล่นหุ้นเป็นแค่งานอดิเรกขำๆก็คือว่า ไม่ต้องศึกษามากหรอกเล่นไป chill chill เดี่ยวก็รวยแล้ว ผมกล้าพูดว่า 100 ละ 100 ของคนที่คิดแบบนี้ระยะยาวไม่มีวันประสบความสำเร็จในตลาดหุ้นหรอก จริงๆแล้วคุณทำงานประจำคุณไม่ชอบที่มีคนมากดขี่ กดหัว มีเพื่อนร่วมงานเฮงซวยขี้อิจฉา คุณก็เริ่มอยากจะเป็นนายของตัวเอง แต่คุณก็อยากมีอิสระทางเวลาด้วยดังนั้นตลาดหุ้นคือ คำตอบ หลายคนก็เลยอยากเล่นหุ้นได้กำไรเยอะๆจะได้ไม่ต้องทำงานที่ตัวเองไม่ชอบอีกต่อไป แต่เวลาที่คุณทุ่มเทให้กับตลาดหุ้นได้นั้นทำได้วันละไม่ถึงชั่วโมง (ไม่นับเวลานั่งดูราคาหุ้น) ตลกมาก คุณทำงานประจำคุณต้องทำวันละ 8 ชั่วโมง แต่พอต้องอ่านเรื่องหุ้นแป๊ปเดียวคุณก็รู้สึกว่าเครียด รู้สึกเหนื่อย แล้วแบบนี้คุณจะหวังว่าจะเล่นหุ้นแล้วรวยได้อย่างไร อย่างผมเป็น full time investor คนนึกว่าผมสบาย คำตอบของผมคือ สบายกับผีนะสิ ผมอ่านเอกสารวันนึงกองยังกับภูเขา แถมผมมีสอนมือใหม่ มีเขียนหนังสือ อาทิตย์นึงมีเวลาเข้า fitness ไม่เกิน 3 วันด้วยซ้ำ ผมมีทัศนคติว่าถ้าเราอยากได้สิ่งที่สุดยอดเราก็ต้องทุ่มเทถวายหัวให้กับมัน ดังนั้นทั้งชีวิตของผมมอบให้กับการลงทุน ผมไม่เคยมีความคิดจะซื้อที่ดิน ซื้อทอง ซื้อพันธบัตรอะไรแม้แต่อย่างเดียว บางคนอ่านหนังสือพิมพ์ที่กรุงเทพธุรกิจสัมภาษผม นึกว่าผมนั่งๆนอนๆแล้วมีเงินเป็นสิบล้านหล่นลงมา โลกความเป็นจริงไม่มีหรอกครับ

การเล่นหุ้นให้ได้กำไรชนะตลาดในระยะยาวต้องอาศัยความพยายามสูงมาก ซึ่งความพยายามนั้นก็ต้องมาจากทัศนคติที่ถูกต้องและพร้อมจะทุ่มเทก่อนแต่หลายคนไม่มีความคิดแบบนั้นรู้สึกว่าอยากได้เงินง่ายๆ แค่นี้ก็จบแล้ว คุณไม่มีทางอยู่รอดในตลาดหุ้นระยะยาวได้ คุณเป็นแค่หมูอ้วนๆตัวนึงในตลาดหุ้นที่เสือ สิง กระทิง แรด อยากจะรุมสกัมให้เหลือแต่กระดูก เหตุผลเพราะ คุณไม่มีความรู้ในหัวเลยใช้แต่อารมณ์ลงทุนก็เลยเป็นเหยื่อของรายใหญ่หรือคนที่รู้มากกว่า

บางคนเพิ่งเข้าตลาดหุ้นมาถามผมว่ามี course อะไรแนะนำไหม ผมแนะนำไปดันมาตอบผมว่า โห ตั้ง 2000 บาทแพงจังเลยมี course ฟรีไหม อ้าว ไอ้เวรเอ๋ย ถ้าเป็นเพื่อนผมนี้ผมตบกระโหลกไปแล้ว มึงเรียนมหาลัยมา 4 ปีเสียเงินตั้งหลายแสนเพื่อไปทำงานบริษัททำไมมึงเสียได้ว่ะ แล้วพอไปทำงานมึงก็บอกว่าอยากมีอิสระภาพทางการเงิน อยากมี financial freedom แต่พอจะหันมามีอิสรภาพทางการเงิน ค่าเรียนรู้เบื่้องต้น 2000 เจือกไม่ยอมเสีย แบบนี้เมิงก็ทำงานงกๆๆๆ ต่อไปเถอะ คนแบบนี้เหมือนอยากมีเมียเป็นนางงาม เป็นนางแบบ แต่ตัวเองไม่ดูแลหุ้นปล่อยให้อ้วนฉุ มีกลิ่นปาก แต่งตัวไม่เป็น แถมจน แต่อยากได้เมียเป็นนางงาม ก็เหมือนกันอยากรวยเร็วๆ อยากมีความรู้ทางการลงทุน แต่ไม่อยากเสียเงินไปเรียน คนพวกนี้บางคนผมเคยแนะนำหนังสือการลงทุน ตปท ไปให้ก็บอกว่า “โห แพงจังเล่มละตั้ง 800 บาท” ผมเลยไม่ตอบอะไรเขาอีก เพราะผมถือว่าเราคุยกันคนละภาษา ผมคุยภาษา อิตาลี เขาคุยภาษาเขมร และเราไม่มีทางคุยกันเข้าใจได้

ของฟรีไม่มีในโลกถ้าคุณอยากเก่งเรื่องหุ้น ผมคิดว่าคุณต้องกันค่าใช้จ่ายเรื่องไปเรียนกับเรื่องหนังสือเอาไว้หลายๆหมื่นเลย ผมเห็นหลาย course ของที่อื่นเก็บกันวันละ 4500-5000 คนไปเรียนหลายคนก็บอกว่าคุ้ม ได้แนวคิดดีๆกลับมาน่าจะช่วยทำให้อีกหน่อยทำเงินในตลาดหุ้นได้หลายแสนหลายล้านคุ้มกว่าค่าเรียนเยอะ ผมว่าทัศนคติแบบนี้เป็นเรื่องถูกต้อง เหตุผลเพราะว่า การเล่นหุ้นแล้วได้กำไรแล้วทบต้นไปเรื่อยๆในปีหลังๆจำนวนเงินจะมหาศาลมากแล้วจะทำให้ค่าความรู้เช่นพวกค่าหนังสือ ค่าเรียนพวกนั้นถูกยังกับซื้อโอเล่มากินเลยทีเดียว อย่างตัวผมเองก็หมดค่าสัมนาไปเป็นแสน ค่าหนังสือตปททุกเล่มรวมกันก็เยอะมาก แต่พอผมกำไรหุ้นเยอะๆทีเดียว ค่าหนังสือกับค่าอบรมก็ถูกแสนถูก คุณต้องคิดว่าการลงทุนความรู้ในตัวคุณเองเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากที่สุด และจงอย่าได้ตระหนี่กับค่าใช้จ่ายที่เอาไว้พัฒนาตัวเองเพราะ คนประสบความสำเร็จทุกคนต้องพัฒนาตัวเองต่อเนื่อง

ผมเคยได้ยินรายใหญ่ในตลาดหุ้นที่มีเงินหลายพันนล้านเล่าว่า สมัยก่อนแทบไม่มีกราฟให้ใช้ จะดูได้นี้ต้องจ่ายแพงมาก และค่าเรียนเรื่องกราฟสมัยก่อนก็ 50000 บาทขึ้นไป รายใหญ่คนนี้ยังไปเรียนเลย ไปเรียนในสมัยที่เงิน 50000 บาทถือว่าแพงมากๆ(เพราะนานมากแล้ว) ทุกวันนี้คนๆนี้ก็เป็นเสี่ยพันล้าน เสี่ยคนนี้เขาไม่ได้เล่นหุ้นด้วยความรู้สึกเล่นไปขำๆไม่ต้องทุ่มเทอะไรมากแล้วก็หวังรวย เขาทุ่มเทจิตวิญญาณให้กับตลาดหุ้น สุดท้ายก็กลายเป็นตำนวนของเมืองไทยที่คนในตลาดหุ้นอยากไปให้ถึงจุดที่เขาเป็นอยู่

และเหตุผลอย่างอื่นที่ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ประสบความสำเร็จในตลาดหุ้นน่าจะเป็นเพราะว่าเขามีความอดทนไม่มากพอ อย่างว่ากว่าคุณจะออกมาทำงานได้คุณต้องเรียนตั้งกี่ปี แต่ในตลาดหุ้นไม่ใช่ว่าคึณขยันแค่ 3 เดือนแล้วคุณจะมีความรู้เพียงพอ คุณต้องขยันตลอดเวลาและรอคอยได้นานหลายปีกว่าจะถึงจุดที่ความรู้ของคุณตกผลึก หลายคนเข้ามาในตลาดหุ้นทำไปได้แป๊ปเดียวก็รู้สึกว่ามันต้องพยายามมากขนาดนี้ทำไมเล่นไม่ได้ตังค์ซะทีว่ะ ไอ้พวกคนได้ตังค์มันต้องดวงดีแหงๆ โอ๊ยมันเป็นเรื่องของดวงนี้หว้า ไม่ต่างจากแทงหวยเลิกพยายามดีกว่า ปญอ จัง อะไรประมาณนี้คือความคิดของหลายคนที่เข้ามาในตลาดแล้วพยายามได้ 2-3 เดือนแล้วยังไม่กำไร ซึ่งการจะประสบความสำเร็จจากอะไรซักอย่างมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นมันต้องใช้เวลายาวนานกว่านั้น นอกจากคุณจะทุ่มเทได้มากพอแล้วคุณยังต้องอึดมากพอที่จะรอให้วันของคุณมาถึงอีกด้วย

ถ้าคุณให้เวลากับมันได้ ไม่ทำตัวแบบคนต้องการนางงามแต่ไม่พัฒนาตัวเอง(อยากเก่งแต่ไม่อยากจ่ายค่าเรียนรู้) และอดทน ผมคิดว่าในระยะยาวคุณจะกลายเป็นเสี่ยครับ

Comments (73)

จัดพอร์ตป้องกันความเสี่ยง

ช่วงนี้ตลาดต่างประเทศลงแรงมาก แรงมากจนชนิดที่ว่าอึ้งกันทั้งตลาดสำหรับการลงต่อเนื่องของ dowjone เกือบ 1700 จุดภายใน 10 วันเทรด

มีคนถามว่าผมมองยังไง พูดตรงๆว่าก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นเรื่องของตลาดเป็นเรื่องที่พลิกได้ตลอดเวลา ตลาดดีๆอยู่ก็มาเจอเรื่องที่คาดไม่ถึงแล้วก็ลงแรงๆแบบหูดับตับไหม้ก็เกิดขึ้นได้ ตลาดแย่ๆอยุ่ก็มีอะไรดีเกินคาดได้

ดังนั้นเราควรจะให้ความสำคัญไปที่หุ้นที่ได้รับผลกระทบจากข่าวมากกว่า เช่น หุ้นส่งออกหลายตัวในยามนี้ดูยังไงก็ไม่ค่อยสดใสเพราะว่าถ้ามีการขึ้นค่าแรงในประเทศจริง หุ้นพวกนี้ก็กำไรลด แต่การลดภาษีกลับไม่ช่วยเพราะส่วนใหญ่จะได้ boi แถมปัญหาที่แรงๆกันตอนนี้ก็มาจากยุโรป usa ซึ่งหุ้นอิเล็กทรอนิกหลายตัวก็ส่งออกไปที่นั้น เรียกว่าต่อให้ usa และ europe ไม่มีปัญหา หุ้นพวกนี้ก็ไม่ได้มี upside จากการไม่มีปัญหา เพราะเดี่ยวก็มาเจอเรื่องขึ้นค่าแรงต่อ ต่อให้ไม่ขึ้นค่าแรงด้วย ก็ไม่เห็นจะมีปัจจัยบวกอะไร แต่ถ้า crisis จริงหุ้นพวกนี้ก็คงโดนหนักทีเดียว

ต่างกับหุ้นที่ให้บริโภคภายในประเทศเพราะนโยบายหลายๆอย่างของรัฐบาลชุดนี้สามารถเพิ่มกำลังซื้อให้กับคนรากหญ้าในประเทศได้มากทีเดียว ถ้าวิกฤติมาจริงหุ้นพวกนี้ก็ถือว่าหนังเหนียวกว่าเพื่อนเพราะได้รับผลกระทบจากกำไรน้อยกว่า และถ้าวิกฤติมาจริงไม่ว่าคุณจะเล่นหุ้นแบบไหนคุณก็โดนอยู่ดี ดังนั้นคุณก็ไปเล่นหุ้นที่มันไม่เกี่ยวกับทาง usa ,europe สิ แล้วพอหุ้นลงหนักๆคุณก็ค่อยขายตัวที่ลงน้อยแล้วไปซื้อตัวที่ลงมากๆ แบบนี้น่าจะดีกว่าไปเล่นหุ้นที่ไม่มีปัจจัยบวกอะไร

ประเด็นคือตอนหุ้นลงมากๆคุณต้องใจถึงที่จะกล้าซื้อตัวที่คนขายแบบตกใจขายแบบคิดแล้วโลกจะแตก แต่คุณมองออกว่ามันไม่ได้แย่ขนาดนั้น โดยส่วนตัวแล้วตอนนี้ผมก็มีหุ้นในพอร์ตและไม่อยากให้หุ้นเป็นขาลงแต่ผมไม่สามารถบังคับอะไรได้ ผมคิดว่าเออ มึงจะเอาไงก็ได้ จะขึ้นต่อก็ได้หรือจะ crash อีกรอบก็ได้ เพราะถ้า crash อีกยังไงผมก็ต้องโดนบ้างระดับนึงแต่ผมไม่แคร์เพราะผมมองข้ามช็อตไปแล้วว่าขาขึ้นรอบหน้าผมจะเอาอีก 10 เด้ง ยังไงขาลงผมก็ขาดทุนไม่ถึง 90% อยู่แล้วดังนั้นขาขึ้นรอบหน้าผมต้องนิวไฮได้ไกลแน่ ถามว่าทำไมผมมั่นใจก็เพราะว่าผมศึกษาหุ้นฟื้นตัวจากวิกฤติรอบก่อนมาทุกๆรูปแบบแล้วแทบจะ cover ทุก sector และถ้าหุ้นพังอีกที หลักการซื้อก็ไม่ได้ต่างกันมากหรอกเพียงแต่ต้องประยุกต์บ้าง

อย่างรอบต้มยำกุ้งใครศึกษา stanley รอบ subprime ก็จะได้ sat รอบต้มยำกุ้งใครศึกษา lh รอบ subprime คุณก็จะได้ ps spali รอบต้มยำกุ้งใครศึกษา atc psl ตอน subprime คุณก็ได้ cpf sta ptl aj

แต่ถ้าคุณศึกษามาหมดทุกรอบหมดทุกตัวคุณก็ไม่กลัว crisis หรอก เพราะถ้าไม่เกิด crisis ก็ไม่รวย

ที่พูดมานี้ไม่ได้บอกว่าจะเกิด crisis นะบอกแล้วว่าผมไม่รู้แล้วผมก็ยังมีหุ้นในพอร์ต โดยส่วนตัวผมคิดว่าเราเพิ่งจากตลาด crash ไปเมื่อสามปีก่อนเองตลาดคงจะไม่พังเร็วขนาดผ่านไปแค่ 3 ปีแล้วเอาอีกที เพียงแต่คนอาจกลัวความเสี่ยงที่ว่า usa ก็หมดกระสุนที่จะใช้แล้วแถมมาโดนลดอันดับความน่าเชื่อถือ ยุโรปก็เน่าหนอนแก้ปัญหากันแบบแก้ผ้าเอาหน้ารอด หนทางข้างหน้าความเสี่ยงมีไม่น้อยทีเดียวที่จะเกิด double dip อะไรทำนองนั้น สิ่งที่คุณทำได้คือจัดพอร์ตรูปแบบไหนก็ได้ที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบทาง usa และ europe ให้น้อยที่สุด เพราะนั้นเป็นการป้องกันว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นมาคุณก็เสียหายน้อยกว่า และสิ่งที่คุณควรทำคือศึกษาเรื่องหุ้นที่ขึ้นแรงมากๆในตลาดขาลงแรงๆรอบก่อนๆให้มากที่สุด เหมือนที่ผมเคยศึกษาเรื่องหุ้นสิบเด้งแล้วมาเปิดสอนนั้นแหละ

และที่ผมสังเกตุอีกอย่างนึงก็คือว่าเวลาตลาดลงแรงๆไอ้หุ้นประเภทที่คุณ discount growth ของอีกหลายปีข้างหน้าเอาไว้แล้วเนี้ยแหละลงแรงมาก เพราะว่า growth มันจะไม่ได้อย่างที่หวัง
ดูอย่าง mint ก่อน subprime ก็ได้ 17 เจอ subprime เหลือ 5 บาท
bh 52 บาทเหลือ 17
bgh 46 เหลือ 13

ดูๆไปแล้วพวกหุ้นที่คนแบบว่าโคตรเทพสมัยก่อนจนให้ pe แพงมากๆเจอตลาดแย่ขึ้นมาก็ลงหนักไม่แพ้หุ้นทั่วไปที่แย่กว่าหุ้นทั่วไปคือพวกนี้มักจะปันผลน้อยมากเพราะ pe แพง

และที่น่ากลัวเวลาเจอวิกฤติก็คือหุ้นไม่มีสภาพคล่องหลายคนที่ผ่านปี 2008 ยังขนหัวลุกไม่หายกับหุ้นสภาพคล่องต่ำๆ เพราะจนถึงจุดนึงที่คนมองว่าฉิบหายแน่แล้ว คนก็ไม่ค่อยบิดหุ้น หุ้นตัวเล็กๆตอนแรกๆก็ไม่ลงแต่พอตลาดลงมากๆหุ้นพวกนี้ก็จะลงแรงเหมือนกันแต่ลงตามทีหลังแต่ที่แย่คือ คนขายแย่งกันโยน คนซื้อไม่ค่อยบิด ใครมีของเยอะก็จุกอกตาย และที่ซวยหนักเข้าไปอีกก็คือคนที่มีมาร์จิ้นหุ้นเล็กๆพวกนี้คุณจะโดนบังคับขาย พวกโบรกเกอร์จะปรับลดอับดับหุ้นลงจากเกรด a เป็น b หรือ c ยิ่งทำให้คุณไม่มีเวลาหายใจมากขึ้นไปอีก

และมีข้อน่าสังเกตุอีกข้อคือหุ้นที่เป็นประเภท economic cycle วิกฤติรอบก่อนแม้ว่าจะปันผลเยอะมากๆอย่าง 7-8% แต่ก็สามารถลงไปจนปันผล 15-17% ได้ หรือหุ้นบางตัวที่มี roe 20% ต้อเนื่องพอเกิดวิกฤติก็ลงไปเหลือ pe 1.5 ได้
คงไม่ต้องพูดว่าคนที่ถือหุ้นจะฉิบหายกันขนาดไหน

สรุปว่าในความเห็นของผมจัดพอร์ตแบบป้องกันความเสี่ยงไว้ก่อนดีกว่า ส่วนใครอยากเล่นจิ้นเต็มพอร์ตหรือล้างพอร์ตก็แล้วแต่ท่านครับ แต่ผมจัดพอร์ตแบบปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่าเพราะอย่างน้อยหุ้นพวกนี้ก็มี upside ในระดับนึงแต่ downside ที่น้อยเพราะได้รับผลกระทบจากวิกฤติช้ากว่าทำให้เราไม่เสียเงินต้นมากจนเกินไปเพื่อรอวันรวยกว่าเดิมอีกครั้ง 5555

Comments (16)

clip บางส่วนของงานสัมนา all in one ที่ central world

Comments (31)

การบริหารพอร์ตภายใต้ความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจ

ปัจจัยกดดันตลาดหุ้นในช่วงนี้คือตลาดหุ้น กรีซ จากที่เพื่อนๆพี่ๆ(mr.messenger,mprandy ต้องขอบคุณสองท่านนี้มากๆครับ)ในทวิสเตอร์คุยกัน ผมขอนำเนื้อหาที่พวกเขาคุยในทวิสเตอร์มาเล่าสู่กันฟัง ปัญหาของกรีซ คล้ายๆก็คือว่า กรีซเป็นรัฐสวัสดิการซึ่งก็คือรัฐที่ประชาชนส่วนใหญ่ทำงานให้กับรัฐบาล แต่จนถึงจุดนึงก็เกิดปัญหาก็คือคนส่วนใหญ่ที่อายุเกิน 55 ก็เกษียญแล้ว และเมื่ออัตราการเกิดลดน้อยลงอย่างมีนัยยะก็ทำให้มีค่าใช้จ่ายประเทศเยอะ เมื่อเป็นแบบนี้ก็เลยขาดดุล เมื่อขาดดุลก็กู้เงินมาใช้จ่ายยิ่งกู้หนี้ก็ยิ่งเยอะ นี้คือประเด็นว่าทำไมกรีซถึงเป็นประเทศที่มีปัญหาและทำไมหนี้สินของกรีซถึงเยอะ

ต่อมาคนก็คิดว่าวิธีแก้ปัญหาล่ะ ก็ลดค่าใช้จ่ายสิ พอจะลดค่าใช้จ่ายก็เกิดปัญหาประท้วงดังที่เห็นในภาพ

ทุกวันนี้ gdp ของกรีซติดลบ 3-4% จะลดค่าใช้จ่ายก็ทำไม่ได้

แล้วทางเลือกอื่นของกรีซล่ะ เช่นการให้เยอร์มันช่วย แต่เยอร์มันก็ไม่อยากช่วยเพราะมองว่าทำไมจะต้องเอาเงินภาษีของคนเยอร์มันมาช่วยชาวกรีซด้วยทำให้เยอร์มันยังไม่ได้ให้ความช่วยเหลือ ข่าวนี้ทำให้หุ้นยุโรปลงแรงมากเมื่อหลายวันก่อน

แล้วกรีซยังเหลือทางเลือกอะไรอีก ถ้า hair cut หนี้ล่ะ s&p ก็ออกมาดักคอว่าถ้า hair cut หรือยืดหนี้จะเท่ากับชักดาบซึ่งจะทำให้คนถือ bond ของกรีซอยู่แทบไม่มีค่าเลยมันจะคล้ายๆกับถือขยะอยู่ทีเดียว ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ ประเทศก็แทบล้มละลาย เพราะ bond ของเอกชนก็จะไม่น่าเชื่อถือไปด้วย

ตอนนี้พันธบัตร 2 ปีของกรีซให้ yield สูงถึง 30% คุณจะได้ yield 30% เชียวนะ(ถ้าเขาจ่ายตังค์คุณได้แล้วไม่ล้มไปซะก่อนนะ 5555) จะเห็นได้ว่าถ้ามองผ่าน yield พันธบัตรกรีซตลาดมองว่ากรีซแย่มากๆ ถึงโคตรมากๆ
และถ้ามองที่ cds spread ของ greece ก็ต้องบอกว่าโคตรเน่าหนอน

(ขอบคุณพี่หมอ mprandy ที่กรุณาให้ข้อมูลและรูปภาพด้วยครับ)

ดูๆไปแล้วปัญหาของกรีซยังไม่เห็นทางลงว่าจะลงในรูปแบบไหนดี ไม่ว่าจะลดค่าใช้จ่าย ได้เงินช่วยเหลือ ลดหนี้หรือยืดอายุหนี้ ก็ยังไม่เห็นทางไหนที่จะทำได้ กรีซอยู่ใน eu ใช้เงินสกุล ยุโร ถ้ากรีซล้มคงจะสะเทือนไม่ใช่น้อยๆ และที่สำคัญประเทศใน eu หลายประเทศก็ไม่ได้ดีกว่ากรีซเท่าไหร่ ถ้ากรีซล้มขึ้นมาประเทศที่ปัญหาคล้ายๆกันล่ะจะรอดเหรอ แล้วถ้าเป็นลูกโซ่ละตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไร

ถ้ากรีซเป็นอะไรขึ้นมาตลาดโลกจะ panic เหมือนสมัย lehman brother ล้มหรือไม่?

อาจจะใช่หรืออาจจะไม่ใช่ก็ได้ เพียงแต่เราควรระวังไว้บ้าง

ถ้ากรีซจ่ายหนี้ไม่ได้แล้วชักดาบแล้วกองทุนกับสถาบันการเงินที่ถือตราสารหนี้ของกรีซล่ะจะเป็นไง ต้องตัดหนี้เสีย ? เพิ่มทุน? บลา บลา บลา

ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนั้นตลาดหุ้นโลกจะเป็นไง?

ตอน subprime ที่ปัญหาเกิดจาก usa ก็แก้ได้ง่ายกว่าเนื่องจากเป็นประเทศเดียว แต่รอบนี้ eu มันก็ตัวใครตัวมันเอาเงินไปช่วยคนอื่นก็โดนประชาชนตัวเองด่า ไม่ค่อยมีความสามัคคีเท่าไหร่ ทำให้ถ้าเกิดปัญหาขึ้นมาจะแก้ได้รวดเร็วแค่ไหนนี้สิ

แล้วนอกจากเรื่องกรีซก็ยังมี qe สองที่กำลังจะหมดอีกดูๆไปแล้วยังไม่เห็นปัจจัยดีๆเท่าไหร่เลย

กลับมาที่ประเด็นการบริหารพอร์ต ผมคิดว่าใครเล่นมาร์จิ้นตอนนี้โคตรเสี่ยง ความน่ากลัวของการเล่นมาร์จิ้นก็คือ ถ้าเกิดข่าวร้ายมากๆคนก็ไม่บิด ถ้าสภาพคล่องไม่มี ผลลัพธ์ที่เลวร้ายกว่าที่คุณคิดอาจจะเกิดขึ้นได้

เรื่องกรีซนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกได้ตอบรับไปแล้วส่วนนึงไม่มากก็น้อยเพียงแต่ประเด็นคือ เรายังไม่เห็นทางออกของเรื่องนี้ ดังนั้นการเล่นหุ้นช่วงนี้ผมว่าถ้าคนที่ยังหาหุ้น upside ซัก 40% ภายในหนึ่งปีขึ้นไปไม่ได้ก็ไม่น่าเสี่ยงเล่นหุ้นเท่าไหร่เนื่องจากว่า ถ้าหวัง upside แค่นิดเดียวภายใต้ตลาดที่มีปัจจัยเสี่ยงพอควรผมว่ามันได้ไม่คุ้มเสียเท่าไหร่

ส่วนคนที่มั่นใจว่ามีหุ้นตัวเล็กๆที่มีสตอรี่ส่วนตัวที่จะ drive ราคาหุ้นได้แรงมาก อันนั้นเป็นอีกเรื่องนึง ถ้าตลาดไม่ได้แย่เท่าไหร่หุ้นลักษณะนั้นน่าจะลอยตัวได้ดี

บทความนี้ไม่ได้เขียนขึ้นเพื่อให้คนกลัวหรือ panic ตลาด เป็นเพียงการออกความเห็นเกี่ยวกับภาพรวมตลาดซึ่งเรื่องตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไรคงไม่มีใครรู้ได้และไม่มีใครรู้จริง สิ่งที่นักลงทุนที่ดีควรทำคือ บริหารความเสี่ยงให้เหมาะสม

ตลาดแบบนี้เราควรมี mos สูงๆนะครับในความเห็นของผม 555

อันนี้เป็นภาพ set กับเส้น sma 200 วันจะเห็นว่าเป็นแนวรับสำคัญมานานล่าสุดลงไปแล้วยังอยู่ใกล้ๆ เส้น 200 ถ้าเด้งขึ้นไปได้ก็จะดีมาก แต่ถ้าหลุดลงมา sentiment ก็คงเสียครับ

อันนี้ดูเป็นรูปหัวกับไหล่ ถ้าเด้งได้ก็ดูดีถ้าหลุดก็แย่หน่อย

Comments (9)

เนื้อหาที่กรุงเทพธุรกิจลงฉบับวันที่ 6 &13/6 2554

 

เนื้อหาในนี้มีการพูดคุยกันในเว็บ thaivi ด้วยที่

http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=48130

เขาลงผิดนิดหน่อยนะครับคือเมื่อหลายปีก่อนที่บอกว่าซื้อหุ้นปันผลคือ se-ed แต่เขาลงเป็น csl

-ส่วน cpf ตอนที่ผมซื้อผมซื้อ 6.8 ไม่ใช่ 7.8

-และที่เขียนว่า ถ้าซื้อเพราะคิดว่าหุ้นจะขึ้นไม่ใช่เพราะกิจการไม่มีทางรวยได้ โดยความจริงผมไม่ได้จะสื่อแบบนั้น ผมจะสื่อว่าถ้าเป็นวีไอก็ต้องมองที่กิจการของหุ้นว่ายังต่ำมูลค่าไหมมากกว่าประเด็นอื่น ถ้าจะเป็นวีไอแล้วซื้อหุ้นเพราะคิดว่าหุ้นจะขึ้นแบบนี้ก็ไม่ใช่ ในโลกความเป็นจริงก็มี trader ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงเหมือนกันครับ เลยออกตัวกลางๆดีกว่าไม่ได้คิดว่าแบบไหนดีกว่าแบบไหนทั้งนั้นครับ

-แล้วก็ผมไม่ได้อัจฉริยะนะครับ ผมแค่อดทนได้นานแม้ว่าช่วงแรกๆจะเล่นแล้วไม่กำไร แล้วก็ศึกษาจนวันถึงวันนึงที่วิชาความรู้ออกดอกออกผลได้ คำว่าอัจฉริยะมันเกินไปสำหรับผมครับ

 

 

บทสัมภาษเต็มของตอนที่ 1 วันที่ 6 มิถุนายนครับ
จากเว็บกรุงเทพธุรกิจครับที่ link นี้ครับ

http://bit.ly/klQQZ0

อายุเพียง 25 ปี ‘ฮง’ เด็กหนุ่มที่พ่อแม่ค้าเสื้อยืดย่านพระราม 2 เล่นหุ้นตั้งแต่เรียนปี 1 ‘ม.กรุงเทพ’ ปั่นเงินจาก ‘หลักแสน’ เพิ่มเป็น ‘หลายสิบล้าน’ ภายใน 7 ปี..ฝันอีก ‘สิบปี’ พอร์ตแตะ 300 ล้านบาท

“ฮง” สถาพร งามเรืองพงศ์ ชื่อนี้แทบไม่เป็นที่รู้จักในวงการตลาดหุ้น แต่ถ้าเอ่ยนามแฝง “ฮงแวลู” (Hongvalue) เซียนหุ้น “วัยรุ่น” รายนี้เป็นที่รู้จักอย่างดีในเว็บบอร์ด Thaivi.com ที่วันนี้เริ่มอัพเกรดตัวเองไปเป็นวิทยากรบรรยายเรื่องหุ้นให้กับนักลงทุนกลุ่มเล็กๆ หลังชีวิตการลงทุนตลอด 7 ปีประสบความสำเร็จอย่างงดงามมีพอร์ตลงทุน “หลายสิบล้านบาท”

ตี๋หนุ่มวัยเพียง 25 ปีรายนี้เลือกเดินในอาชีพ “นักเล่นหุ้น” อย่างแน่วแน่ และกำลัง “ป็อปปูล่า” วัดความดังได้จากงานสัมมนาเล็กๆ ที่ฮงและก๊วนเพื่อนร่วมกันแชร์ประสบการณ์ในช่วงหลังวิกฤติเศรษฐกิจ (ซับไพร์ม) ปี 2551 ที่เขาได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนสูงถึง 10 เท่าตัวหากรู้จักเลือกลงทุนหุ้นพื้นฐาน เปิดให้จองที่นั่งเข้าฟังบรรยายเพียงไม่กี่ชั่วโมงมีนักลงทุนรายเล็กรายใหญ่ แห่จองกันเต็ม 230 ที่นั่ง

หลังจบงานสัมมนามีคนตามทวิตเตอร์ของ Hongvalue เพิ่มขึ้นกว่า 100 คน เขายกตัวอย่างหุ้นที่เคยทำเงินเข้ากระเป๋าได้อย่าง “มหาศาล” ในช่วงหลังวิกฤติปี 2551 นั่นคือ หุ้นเจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) และหุ้นโพลีเพล็กซ์ (ประเทศไทย) (PTL) รวมถึงหุ้นอีกหลายตัวที่ทะยานขึ้นอย่างมาก

ตี๋หนุ่มคุยว่าพอร์ตลงทุนของตัวเองเติบโตก้าวกระโดดในช่วงไม่กี่ปีมานี้ และเริ่มเป็นที่รู้จักในแวดวง Value Investor มากขึ้นหลังสร้างผลตอบแทนเพิ่มขึ้นประมาณ 20 เท่า ภายในระยะเวลา 2 ปี ขณะเดียวกันถ้าวัดตั้งแต่เริ่มลงทุนปี 2547-2553 ภายในระยะเวลา 7 ปี พอร์ตลงทุนขยายตัวประมาณ 40-50 เท่า

“ฮง” เซียนหุ้นอัจฉริยะรายนี้เป็นลูกคนสุดท้องจากพี่น้องทั้งหมด 3 คน เขาเล่าว่า พี่ชายคนโตปัจจุบันอายุ 33 ปีคนนี้ก็เล่นหุ้นเหมือนกันแต่มูลค่าพอร์ตลงทุนยังไม่ใหญ่ประมาณ 3 ล้านบาท พี่ชายจะเน้นดูเทคนิเคิลมากกว่าปัจจัยพื้นฐาน ส่วนพี่สาวคนรองอายุ 29 ปี เรียนจบแพทย์ ปัจจุบันเดินทางไปศึกษาต่อเป็นแพทย์เฉพาะทาง สาขาช่องท้อง ที่สหรัฐอเมริกา

ฮงกล่าว่าครอบครัวไม่ได้ร่ำรวยมีฐานะพอกินพอใช้ พ่อแม่ทำธุรกิจผลิตเสื้อยืดขายย่านถนนพระราม 2 มานานกว่า 20 ปี เพิ่งเลิกทำไปเมื่อต้นปี 2554 นี้เอง และหันไปปลูกต้นลีลาวดีขาย ชื่อว่า “สวนลีลาวดีภิรมย์” บนเนื้อที่ 33 ไร่ ย่านบางขุนเทียน

ประสบการณ์เล่นหุ้นครั้งแรกของฮงต้อง “แอบพ่อ” ที่ไม่อยากให้ลูกชายเข้าไปข้องแวะกับตลาดหุ้น โดยเริ่มลงทุนครั้งแรกในชีวิตเมื่อปลายปี 2547 ช่วงนั้นเรียนอยู่ปี 1 คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ มีเงินลงทุนก้อนแรก 100,000 บาท เป็นเงิน “แต๊ะเอีย” ที่เก็บสะสมมาจากญาติๆให้แต่ละปีรวมกับเงินเก็บ เงินเก็บก้อนนี้ถูกพ่อแม่บังคับให้เอาไปเข้าธนาคารกลัวลูกเอาไปซื้อเกมส์มาเล่น

สำหรับผู้ที่จุดประกายให้ฮงเข้าสู่ตลาดหุ้นไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นเพื่อนสมัยเรียนมัธยมมาด้วยกัน เห็นเพื่อนซื้อหุ้น SHIN ที่ต้นทุนหุ้นละ 26-27 บาท ไปขายตอนราคา 40 บาท ได้กำไรประมาณ 50% ภายในระยะเวลาไม่กี่เดือนจากคำแนะนำของญาติ ทำให้เด็กหนุ่มมีความฝันอยากได้กำไรอย่างเพื่อนคนนั้นบ้าง

แม้วันนี้พอร์ตลงทุนของฮงจะเติบโตขึ้นอย่างมากจากเมื่อ 7 ปีก่อน จากหลัก “แสนบาท” เป็นหลัก “สิบล้านบาท” แต่นั่นยังไม่ใช่เป้าหมาย

“ภายใน 10 ปีข้างหน้า (2554-2563) ผมต้องการมีมูลค่าการลงทุนสูงถึง 300 ล้านบาท เติบโตให้ได้เฉลี่ยปีละ 20% นี่คือเป้าหมายของผม” สถาพร กล่าวกับทีมงาน กรุงเทพธุรกิจ BizWeek โดยมั่นใจว่าตัวเลขนี้ทำได้แน่นอน ทุกวันนี้ฮงเป็นนักลงทุน Full Time หลังค้นพบว่าการเล่นหุ้นเป็นทางเดินชีวิตที่มาถูกทาง

“แม้ผมจะอายุยังน้อยในสายตาใครต่อใคร แต่ก็ผ่านวิกฤติเศรษฐกิจและวิกฤติการเงิน (ซับไพร์ม) มาแล้ว เรียกได้ว่าผ่านมาแล้วทุกบรรยากาศ แล้วก็ทำได้ดีด้วย” เขาไม่ลืม “คุย”

ฮงจัดเป็น “เซียนหุ้นอัจฉริยะ” ที่จับทางตลาดหุ้นออกในเวลาอันรวดเร็ว เขารู้ว่าหุ้นแบบไหนจะขึ้นเยอะ และควรลงทุนสไตล์ไหนถ้าจับถูกตัว

“วันนี้ผมจับจุดถูกรู้ว่าจะลงทุนหุ้นสักหนึ่งตัว ต้องดูอะไรเป็นหลัก ถ้าผมจะพลาดก็ต้องมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเท่านั้น เพราะเหตุการณ์แบบนั้นคงไม่มีใครตั้งตัวขายหุ้นทัน”

การเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จอายุยังน้อยฮงต้องศึกษาทำการบ้านอย่างหนัก เขาศึกษาแนวทางการวิเคราะห์หุ้นแบบ วอร์เรน บัฟเฟตต์ และ ปีเตอร์ ลินช์ อย่างแตกฉาน ทั้ง 2 กูรูยังเป็น “ไอดอล” ที่ฮงฝันอยากเป็น

“ผมคิดว่าคำสอนที่สำคัญที่สุด การซื้อหุ้นคือการซื้อธุรกิจ ถ้าซื้อเพราะคิดว่าราคาหุ้นจะขึ้น รับรองไม่มีทางได้กำไร(รวย)”

ครั้งแรกที่เล่นหุ้นฮงไปเปิดพอร์ตกับบล.ธนชาต ใช้ชื่อตัวเองไม่ได้เพราะยังเด็กเกินไป ต้องใช้ชื่อคุณแม่เป็นคนเปิดพอร์ต เวลาสั่งซื้อขายก็ให้ส่งจดหมายไปที่บ้านญาติเพื่อไม่ให้คุณพ่อรู้ เพราะพ่อมี “อคติ” กับตลาดหุ้นมองว่าการ “เล่นหุ้น” ไม่ต่างอะไรกับ “เล่นการพนัน” ในความเป็นจริงคุณแม่ก็ไม่ชอบให้เล่นหุ้น แต่ทนรบเร้าหาเหตุผลร้อยแปดมาอธิบายไม่ไหว เมื่อเห็นความตั้งใจจริงแม่ก็เลยยอม

“ยอมรับตรงๆ ตอนนั้นไม่รู้เรื่องอะไรเลย ต้องซื้อหุ้นกลุ่มไหน มีวิธีการลงทุนอย่างไร ดูไม่เป็นสักอย่าง ผมเริ่มต้นแสวงหาความรู้ตัวคนเดียว (ชวนเพื่อนแต่เขาไม่ไป) ผมไปนั่งฟังงานสัมมนาฟรีต่างๆ เมื่อก่อนโบรกเกอร์หลายแห่งจะชอบจัดอบรมดูงบการเงินวันเสาร์-อาทิตย์ รู้ว่าที่ไหนมีฟรีผมไปหมด”

เขาเล่าว่า บางงานไม่ให้เข้าเพราะไม่ใช่ลูกค้าเขา ก็ต้องหาเหตุผลสารพัดไปหลอกเจ้าหน้าที่หน้าห้องว่าขอเข้าไปฟังก่อนนะครับ..ถ้าโอเค! เดี๋ยวจะกลับมาเปิดพอร์ตด้วย แต่ก็มีบางงานที่ฮงถูกปฏิเสธกับเหตุผลตื้นๆ แต่เมื่อไปถึงแล้วเขาก็พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เข้าไปฟังวิทยากรบรรยาย แถมยังเกาะติดนอกรอบไปขุดไปคุ้ยไขข้อข้องใจให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

“เมื่อก่อนผมเจ็บใจมาก ด้วยความที่เรายังเด็กอายุแค่ 20 ปี เวลาไปถามวิทยากรนอกรอบงานสัมมนาต่างๆ เขาเห็นเราเด็กก็มักไม่ยอมตอบ แต่จะหันไปตอบคำถามคนอื่นที่เป็นผู้ใหญ่กว่า ตอนนั้นในหัวผมคิดว่าโลกนี้ไม่มีความยุติธรรม มันทรมานมากช่วงนั้น ไม่รู้จะทำอย่างไร”

ฮงขวนขวายหาหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนอ่านมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในใจเขาคิดว่าต้องอ่านหนังสือเยอะๆ ไปงานสัมมนามากๆ เพื่อเพิ่มพูนความรู้ให้ตัวเอง กว่าเขาจะได้ “วิชา” มาทำกำไรอย่างเป็นล่ำเป็นสันในตลาดหุ้นต้องใช้ความทุ่มเท ฮงยังค้นไม่พบความลับการลงทุน 1 ปีครึ่งผ่านไป การลงทุนของเขาไม่ได้กำไรเลยเพราะยังดูงบการเงินไม่เป็น และอ่านอนาคตธุรกิจไม่ออก ตอนนั้นฮงตัดสินใจซื้อหุ้น TTA ADVANC และ TPC

“เท่าที่จำได้ซื้อหุ้น ADVANC ราคา 95 บาท ขาย 105 บาท และซื้อหุ้น TPC ราคา 210 บาท ขายขาดทุน 190 บาท ส่วนหุ้น TTA จำราคาซื้อขายไม่ได้ เมื่อเริ่มดูงบการเงินเป็นนิดหน่อย พอรู้ว่าต้องเลือกบริษัทที่ไม่เป็นหนี้ และมีกระแสเงินสดเยอะๆ ก็เลยซื้อหุ้น CSL จำเหตุผลที่ซื้อและถือยาว 7-8 เดือนได้ว่าเป็นบริษัทที่จ่ายเงินปันผลปีละ 4 ครั้ง แถมมีผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงถึง 8-10% ที่สำคัญเห็นว่าอนาคตกำไรจะเติบโตสูง ตอนนั้นซื้อมา 5-6 บาท พอขึ้นมา 9 บาทก็ขาย ถือเป็นหุ้นตัวแรกที่ได้กำไรเป็นเนื้อเป็นหนังจากการลงทุน”

เมื่อเริ่มเห็นผลงาน (กำไร) และความแน่วแน่ที่จะเดินในอาชีพ “นักเล่นหุ้น” แม่จึง “เพิ่มทุน” ให้อีกหลัก “แสนบาท” เพื่อนำไปลงทุนหุ้น CPALL จำนวน 100,000 หุ้น ต้นทุน 7 บาท พอปลายปี 2551 ก็ขายไปที่ราคา 11 บาท เพราะช่วงนั้นเกิดวิกฤติการเงินโลก (ซับไพร์ม) หุ้นทุกตัวลงหมด แต่หุ้น CPALL ไม่สะทกสะท้าน แต่ฮงกลัวเลยตัดทิ้งไปก่อน “ตอนนั้นผมกลัวติดยอดดอยแล้วลงไม่ได้”

หลังจากนั้นก็คิดจะนำเงินไปซื้อหุ้น PS แต่ภาวะเศรษฐกิจช่วงนั้นไม่ดี ฮงวิเคราะห์ว่าหุ้นพฤกษาจะไม่สามารถขายที่อยู่อาศัยได้ สุดท้ายจึงตัดสินใจ “กำเงินสด” เกิน 5 แสนบาทไว้ในมือ

“ที่แม่ตัดสินใจให้เงินเพิ่มเพราะเห็นว่าผมจริงจังมาก เสาร์-อาทิตย์ไม่เคยอยู่บ้านไปอบรมเกี่ยวกับเรื่องหุ้นตลอด อีกเหตุผลหนึ่งแม่มองว่าที่ผมสนใจการลงทุน ทำให้เราเป็นผู้ใหญ่ขึ้นสามารถคุยกับผู้ใหญ่รู้เรื่อง”

ความมุ่งมั่นศึกษางบการเงินอย่างจริงจัง ฮงเริ่มแตกฉานและมั่นใจในตัวเอง เขากำเงินสดไว้ในมือเพียง 2 เดือน ก็นำไปลงทุนต่อในหุ้น AP และ TOP แต่ยังไม่กล้าเล่นเต็มพอร์ต สาเหตุที่เลือกซื้อ TOP เพราะก่อนหน้านั้นไทยออยล์มีกำไรต่ำมากจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงฮวบฮาบ และราคาน้ำมันก็ผกผันกับเงินดอลลาร์ เขาวิเคราะห์ว่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนตัวราคาน้ำมันก็น่าจะขึ้น จึงคาดว่ากำไรของบริษัทจะต้องพลิกกลับมาดีขึ้นอย่างมาก

พอก้าวเข้าสู่ไตรมาส 3 ปี 2552 ฮงเข้าเก็บหุ้น CPF ตัวนี้ทำให้เขารวยขึ้นอีกขั้น เขาทุ่มเล่นบัญชีเงินสด 100% และอัดมาร์จิ้นอีก 80% เพราะมองว่า CPF ต้องเป็นหุ้น “ป็อกเด้ง” แน่นอน

“ช่วงนั้นผมอัดมาร์จิ้นซื้อหุ้น CPF เต็มแม็ก เพราะกำไรสุทธิไตรมาส 2 ปี 2552 ออกมา 3,249 ล้านบาท มากกว่าทั้งปี 2551 ที่มีกำไรสุทธิ 3,128 ล้านบาท ช่วงนั้นผมประเมินว่าทั้งปี 2552 หุ้น CPF น่าจะมีกำไรสุทธิ 9,000 ล้านบาท ถือเป็นการทำนิวไฮครั้งใหม่ (CPF ประกาศกำไรสุทธิปี 2552 จำนวน 10,190 ล้านบาท) ผมมองว่าธุรกิจเกษตรกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นตามเศรษฐกิจที่เพิ่งเริ่มฟื้นตัว”

อีกอย่างตอนนั้นฮงเช็คราคาขายหมูและไก่เฉลี่ยของปี 2552 ไม่ได้น้อยกว่าปี 2551 แต่ต้นทุนอาหารสัตว์อย่างกากถั่วเหลืงกับข้าวโพดลดลง เพราะคนนำไปทำเป็นพลังงานทดแทนพอราคาน้ำมันตกต่ำความต้องการเอาไปทำพลังงานทดแทน (เอทานอล) หายหมด ซึ่ง CPF ก็รู้เลยตุนกากถั่วเหลืงกับข้าวโพดไว้ แบบนี้จะไม่ให้กำไรเยอะได้อย่างไร

เมื่อผ่านไป 1-2 เดือน ฮงขายหุ้น CPF ได้ราคา 9.60 บาท จากต้นทุนที่ซื้อมา 7.80 บาท เพราะราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 5 วันติดกัน เนื่องจากนักลงทุนคิดว่างบไตรมาส 3 ปี 2552 จะขยายตัวต่อเนื่อง ช่วงนั้นโบรกเกอร์เริ่มทยอยออกมาปรับราคาเป้าหมาย CPF แต่ฮงได้กำไรเข้ากระเป๋า 400,000-500,000 บาท มูลค่าพอร์ตลงทุนพุ่งขึ้นเป็น “หลักล้านบาท” แล้ว

“จากนั้นคุณแม่ก็เติมเงิน (เพิ่มทุน) ให้อีกครั้งหลัก “ล้านบาท” คราวนี้มีทุนเยอะทำให้พอร์ตลงทุนขยับเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว หลังจากกำไรหุ้น CPF ก็ไปเข้าหุ้น VNG ตอนนั้นอัดเต็มพอร์ต เพราะเห็นว่างบไตรมาส 4 ปี 2552 มีกำไรต่อหุ้น 0.27 บาท ราคาหุ้นวันนั้น 3 บาท ถ้าวนชัย กรุ๊ป สามารถรักษาระดับกำไรต่อหุ้นได้แบบนี้ เชื่อว่ากำไรต่อหุ้นทั้งปี 2553 จะยืน 1 บาท”

ฮงถือหุ้น VNG แค่ 3 เดือน ขายออกที่ราคา 5 บาท ได้กำไร 70% ทำให้มูลค่าพอร์ตลงทุนของเขาพุ่งขึ้นเป็นหลัก “สิบล้านบาท” เมื่อขายหุ้น VNG เกลี้ยงพอร์ต ก็โยกเงินไปซื้อหุ้น PTL ที่ราคา 7.50 บาท ช่วงเดือนพฤษภาคม 2553 ทยอยสะสมก่อน 30% ของพอร์ต พอราคาหุ้นขึ้นมา 15 บาท คราวนี้อัดเต็ม 100% ของพอร์ต ใช้มาร์จิ้นซื้ออีก 60% รวมเป็น 160% แล้วไปขายออกในเดือนพฤศจิกายน 2553 ที่ราคา 45 บาท

หุ้นโพลีเพล็กซ์ (ประเทศไทย) คือจุดหักเหครั้งสำคัญทำให้ฮงรวยขึ้นมหาศาล “หลายเท่าตัว” พอร์ตของเขาขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น “หลายสิบล้านบาท” ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน ฮงบอกกับทีมงานกรุงเทพธุรกิจ BizWeek ว่าปัจจุบันมูลค่าพอร์ตของเขาเท่าไร แต่ขอไม่ให้เปิดเผยตัวเลขกับสาธารณะ

หลังจากที่ประสบความสำเร็จได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ ฮงบอกว่าจากนั้นก็ซื้ออะไรไปเรื่อยเปื่อย เช่น หุ้น TVO และหุ้น STA ตอนที่ช้อนหุ้น TVO ราคาเฉลี่ย 27-29 บาท เพราะเห็นว่าราคาถั่วเหลืองในตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้น 1,300 เซ็นต์ต่อบุชเชล ภายในเวลา 2 เดือน แต่ถือหุ้นตัวนี้ไม่ถึง 2 เดือน ก็ขายออกในราคา 31 บาทได้กำไรไม่เท่าไร

ส่วนหุ้น STA ซื้อมา 36 บาท เพราะเห็นว่าราคายางพาราทำจุดสูงสุดใหม่ แต่สุดท้ายก็ยอมขายขาดทุน 35 บาท เพราะราคาหุ้นไม่ขยับตัวตามราคายาง “ตัวไหนถือไว้ดูท่าจะไม่รุ่ง ผมจะขายทิ้ง”

จาก “ไอ้ตี๋หนุ่ม” หน้าละอ่อน ถามใครใครก็เมิน วันนี้กลายเป็น “เซียนฮง” อย่างเต็มภาคภูมิ เจ้าตัวก็เลย “ยืด” ได้ (ขอคุยหน่อย) บอกว่าที่จริงไม่ได้เก่งอะไรมากมาย แค่รู้ว่าเล่นหุ้นแบบไหนแล้วได้กำไร หลังจากเป็นเศรษฐีย่อมๆ ภายในเวลาไม่กี่ปี วันนี้ครอบครัวแฮปปี้มากพ่อแม่เปลี่ยนทัศนคติแล้วว่าการเล่นหุ้น “ไม่ใช่การพนัน” แต่เป็น “การลงทุน” ที่ให้ผลตอบแทนอย่างคุ้มค่า

“ผมจะขอยึดอาชีพนักลงทุนเลี้ยงตัวเองไปเรื่อยๆ ไม่คิดไปทำงานอย่างอื่น แต่ถ้ามีเงินตามเป้าหมายอาจแบ่งมาลงทุนทำอพาร์ทเม้นท์ให้เช่า เท่านี้ชีวิตผมก็มีความสุขแล้ว”

เรื่องราวของ “ฮง” เซียนหุ้นอัจฉริยะยังไม่จบ เขามีกลยุทธ์การลงทุนอย่างไร..? สามารถปั่นเงินจาก “หลักแสน” เป็น “หลายสิบล้านบาท” ได้ อะไรคือความลับการทำกำไรในตลาดหุ้นที่เด็กหนุ่มค้นพบ..สัปดาห์หน้าห้ามพลาด!!

อันนี้ของตอนที่สองนะครับ กรุงเทพธุรกิจฉบับวันที่ 13 มิถุนายน

จากเว็บกรุงเทพธุรกิจที่ link นี้ครับ

http://bit.ly/mDSCX9

เจาะลึกเทคนิคลงทุน ‘เซียนหุ้นวัยเบญจเพส’ เจ้าของพอร์ตหลายสิบล้านบาท ‘ฮง’ สถาพร งามเรืองพงศ์ เล่นหุ้นให้ ‘รวย’ ต้องดูพื้นฐาน 70% เทคนิค 30%

เริ่มเล่นหุ้นตอนเรียนปี 1 มหาวิทยาลัยกรุงเทพ “แอบพ่อ-โอ๋แม่” ทุบกระปุกเงินเก็บแตะเอีย 100,000 บาท หว่านล้อมให้แม่ไปเปิดบัญชีเล่นหุ้นให้ที่ บล.ธนชาต ใช้ชื่อตัวเองไม่ได้เพราะยังเด็กเกินไป เวลาสั่งซื้อขายหุ้นก็ให้ส่งจดหมายไปที่บ้านญาติเพราะกลัวพ่อรู้ พ่อมี “อคติ” กับตลาดหุ้น มองว่าการเล่นหุ้นไม่ต่างอะไรกับ “เล่นการพนัน”

เด็กหนุ่มฮงในวัยเพียง 19-20 ปี ใช้วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ออกตระเวนไปแสวงหาความรู้ตามตลาดหลักทรัพย์ และโบรกเกอร์ต่างๆ รู้ว่าที่ไหนมี “สัมมนาฟรี” เด็กหนุ่มเป็นต้องขวนขวายไปฟัง บางครั้งต้องหาวิธีหลอกล่อเจ้าหน้าที่สารพัดเพราะไม่ใช่ลูกค้าของโบรกเกอร์นั้น

ครั้นระหว่างพักทานอาหารว่างและหลังงานสัมมนาเลิก เด็กฮงก็จะวิ่งไปเกาะติดวิทยากรขุดคุ้ยถามประเด็นที่ตนสงสัย แต่บ่อยครั้งที่เด็กฮง “ถูกมองข้าม” วิทยากรบางคนเห็นหน้าละอ่อนยังเป็นเด็กก็ไม่ยอมตอบคำถามไม่ให้ความสำคัญ จนเขาพูดกับตัวเองว่า “โลกนี้ไม่มีความยุติธรรม” แม้จะทรมานกับสิ่งที่ผู้ใหญ่ไม่ให้ความสำคัญกับไอ้ตี๋จอมเซ้าซี้ แต่ฮงก็พยายามหาความรู้จากหนังสือ และเว็บไซต์ต่างๆ เพิ่มเติมจนแม่เห็นความตั้งใจจริง

จากเงิน “หลักแสน” พอร์ตของเด็กฮงก็ค่อยๆ งอกเงยอย่างรวดเร็ว แม่จึงเติมทุนให้แต่ก็ไม่ได้มากมาย ภายในระยะเวลาเพียง 7 ปี (อายุ 19-25 ปี) “ฮง” สถาพร งามเรืองพงศ์ กลายเป็น “เซียนหุ้นวัยรุ่น” ชื่อดังมีพอร์ตใหญ่ “หลายสิบล้านบาท” พ่อของฮงที่มีอาชีพค้าเสื้อยืดย่านพระราม 2 วันนี้ยอมรับในตัว “ลูกชายคนเล็ก” ของครอบครัวคนนี้ ครอบครัวของเขาเพิ่งเปลี่ยนอาชีพไปปลูกต้นลีลาวดีขายบนเนื้อที่ 33 ไร่ ย่านบางขุนเทียนชื่อสวน “ลีลาวดีภิรมย์”

ฮงคุยว่าเงินลงทุนของเขาเพิ่มขึ้นราวๆ 20 เท่า ภายในระยะเวลา 2 ปี (2552-2553) ขณะที่พอร์ตลงทุนขยายตัวประมาณ 40-50 เท่า ภายในเวลา 7 ปี (2547-2553) หลังประสบความสำเร็จอย่างแรงฮงพัฒนาตัวเองไปเป็น “วิทยากร” เล่าประสบการณ์เกี่ยวกับการลงทุน มีนักลงทุน “รุ่นพี่-รุ่นอา” จองที่นั่งเข้าฟังจำนวนมาก อีกทั้งนามแฝง Hongvalue ก็เป็นที่รู้จักกันอย่างดีใน “เว็บบอร์ด” แวลูอินเวสเตอร์

แม้ฮงแฝงตัวกลมกลืนกับแวลูอินเวสเตอร์ (VI) แต่เขาก็นิยามตัวเองเป็น “ลูกครึ่ง Value Investor”
“ผมจะลงทุนกึ่งแวลู จะผสมผสานระหว่างปัจจัยพื้นฐานและการวิเคราะห์ทางเทคนิค ซึ่งต่างจากนักลงทุน Value ทั่วไป แต่วันนี้มีนักลงทุน VI รุ่นใหม่ยึดแนวทางนี้เพิ่มขึ้น เพราะพิสูจน์แล้วว่าใช้ได้ผลดีมาก”

ฮงกล่าวว่า การจะซื้อหุ้นสักหนึ่งตัว นักลงทุนควรต้องดูทั้งปัจจัยพื้นฐานและกราฟเทคนิคควบคู่กันไป เพราะการดูกราฟย้อนหลังจะทำให้เห็น Demand และ Supply ของหุ้นในอดีต ที่สำคัญจะเห็นจุด “นิวไฮ” ของหุ้นด้วย

“สิ่งหนึ่งที่ผมไม่เหมือนนักลงทุนหุ้นคุณค่าทั่วไปคือ ผมยอมรับการขาดทุนได้บ้าง แต่ถ้าเป็นนักลงทุน VI แท้ๆ ต้องไม่มีคำว่า Cut Loss (ตัดขาดทุน) แต่ผมคิดแบบนั้นไม่ได้ตราบใดที่ยังชื่นชอบการเล่นหุ้นคอมมูนิตี้ (สินค้าโภคภัณฑ์) ที่สำคัญนักลงทุน VI จะไม่ดูกราฟดูปัจจัยพื้นฐานอย่างเดียว เขามองว่าดูกราฟเหมือนมองกระจกหลัง มันเกิดขึ้นไปแล้ว ไม่สามารถสะท้อนธุรกิจในปัจจุบันหรือในอนาคตได้”

สำหรับเทคนิคการลงทุนฮงจะเน้นดูปัจจัยพื้นฐาน 70% อีก 30% จะดูเทคนิเคิล และกราฟหุ้นย้อนหลัง หลายครั้งเขาบอกว่ากราฟหุ้น “ช่วยชีวิต” ไว้ ทำให้ไม่ต้อง “ขายหมู” (ขายถูก) ให้คนอื่น โดยเขายอมลงทุนเสียเงินปีละ 20,000 บาท ติดตั้งโปรแกรม APEX เพื่อดูกราฟราคาหุ้นโดยเฉพาะ

ยกตัวอย่างผลดีจากการดูกราฟ เช่น ราคาหุ้นทำนิวไฮ 10 บาท อยู่ดีๆ ลงมา 8-9 บาท แล้วซื้อขาย 8-9 บาทนานพอสมควร อยู่ๆ ก็วิ่งขึ้นไป 10 บาท โดยมีวอลุ่มเข้ามาเยอะมาก เหตุการณ์ลักษณะนี้ทำให้คิดได้ว่าบริษัทนี้ต้องมีอะไรเปลี่ยนแปลง “ผมก็จะเริ่มตรวจสอบข้อมูลทันที” บางครั้งฮงเริ่มแกะรอยจากหุ้นที่มี “วอลุ่มผิดสังเกต” จากนั้นก็จะคัดเลือกหุ้นที่ “สวย” (ผลประกอบการดีที่สุด) เข้าพอร์ต

สิ่งแรกที่ต้องทำคือการเลือกหุ้นที่ “เพิ่งทำจุดสูงสุดใหม่ของกำไร” และต้องอ่านเกมต่อไปว่า “ไตรมาสที่เหลือ” ของปีนั้นๆ ต้องสามารถรักษากำไรสุทธิระดับนี้ (ดี) ได้ต่อเนื่อง ขั้นตอนจากนั้น ต้องเลือกหุ้นที่สามารถสร้างผลตอบแทนจากเงินปันผลประมาณ 6-7% ต่อปี และข้อสุดท้าย ต้องเลือกหุ้นที่ซื้อขายต่ำกว่า P/E ของกลุ่ม…เหล่านี้คือคุณสมบัติเบื้องต้นของหุ้นที่จะสร้างผลตอบแทนได้สูงจากการลงทุน

เมื่อได้หุ้นที่เข้าข่ายกำไรสุทธิทำจุดสูงสุดใหม่ จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ และค่า P/E ไม่สูง (ราคาหุ้นยังไม่แพง) ได้แล้ว ฮงก็จะเริ่มปฏิบัติการวิเคราะห์เจาะลึก “งบการเงิน” ทันที โดยเน้นหนักไปที่ “กระแสเงินสด” ของกิจการ พยายามดูย้อนหลังให้ได้มากที่สุด

โดยเฉพาะในส่วนของความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดของกิจการ (EBITDA) ต้องมีตัวเลขใกล้เคียงกับกำไรสุทธิ ขณะที่อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ต้องไม่เกิน 1 เท่า และควรเป็นหนี้สิน (หมุนเวียน) ที่ไม่มีดอกเบี้ย
เท่านั้นยังวางใจไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ฮงจะทำการวิเคราะห์ “โครงสร้างธุรกิจ” ผลิตภัณฑ์ตัวไหนที่ทำกำไรให้บริษัท รวมทั้งอ่านบทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ต่างๆ ที่เขียนถึงหุ้นตัวนี้ รวมทั้งค้นหาบทสัมภาษณ์ของผู้บริหารมาอ่านเพื่อให้แน่ใจว่าหุ้นที่จะวางเดิมพันราคาต้อง “วิ่ง” ชัวร์!

“ผมจะอ่านบทวิเคราะห์ต่างๆ ที่โบรกเกอร์ส่งมาในอีเมล์ทุกเช้า รวมถึงอ่านบทสัมภาษณ์ผู้บริหารเพื่อให้เห็นทิศทางของบริษัท ส่วนใหญ่จะใช้เวลาศึกษาหาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุนเพียง 2 วัน”

เมื่อหาข้อมูลครบถ้วนแล้วก็จะเริ่มทำ “ประมาณการผลประกอบการล่วงหน้า” เพื่อประเมินราคาที่เหมาะสมในอนาคต สำหรับวิธีการเข้าเก็บหุ้นจะใช้สูตร 30:30:30:10 ซื้อแล้วหุ้นขึ้นถึงซื้อ “สเต็ปที่สอง” “สเต็ปที่สาม” และ “สเต็ปที่สี่”
หมายความว่าซื้อครั้งแรก 30% สเต็ปที่สอง (อีก 30%) จะซื้อเพิ่มก็ต่อเมื่อราคาหุ้นขยับตัวเพิ่มขึ้น 7-8% ถ้าซื้อ 30% แรกแล้วราคาไม่ขึ้นก็จะรอไปก่อน “ยังไม่ซื้อ” ตรงกันข้ามถ้าซื้อแล้ว 30% ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 8% ก็จะ Cut Loss (ตัดขายขาดทุน) ทิ้งทันที ถ้าทิ้งไว้นานเดี๋ยว “ออก(ของ)ไม่ได้”

เทคนิคที่ทำให้พอร์ตโตเร็ว 20 เท่า ภายในระยะเวลา 2 ปี (2552-2553) เวลาตลาดหุ้นอยู่ในภาวะ “กระทิง” หรือ “ขาขึ้นใหญ่” และมั่นใจหุ้นสุดๆ เขาจะใช้ “เงินกู้มาร์จิน” เพิ่มพลังบวกให้กับพอร์ต

ทุกวันนี้ศูนย์บัญชาการของฮงอยู่ที่บ้านแล้วสั่งซื้อขายทางอินเทอร์เน็ต ที่บ้านย่านพระราม 2 จะกั้นห้องไว้สำหรับนั่งดูหุ้นโดยเฉพาะภายในมีทีวี LCD 60 นิ้วตั้งอยู่กลางห้อง กิจวัตรประจำวันฮงจะตื่นนอนมานั่งในห้องนี้ตั้งแต่ 9 โมงเช้าแล้วอ่านข้อมูลทุกอย่างเริ่มตั้งแต่บทวิเคราะห์ หนังสือพิมพ์ เข้าเว็บบอร์ด Thaivi.org เหตุที่ซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ตเพราะเสียค่าคอมมิชชั่นเพียง 0.1% ถ้าโทรศัพท์สั่งผ่านมาร์เก็ตติ้งต้องจ่าย 0.15% (รายย่อยต้องจ่าย 0.25%)

“โดยปกติผมจะปรับพอร์ตลงทุนทุกไตรมาส (3 เดือน) เพราะสถานการณ์มักมีการเปลี่ยนแปลง ทุกครั้งที่งบการเงินประจำไตรมาสออก ผมจะนำข้อมูลที่ผู้บริหารบอกผ่านสื่อกับบทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์มานั่งคำนวณตัวเลขผลประกอบการในไตรมาสถัดไป”

อีกหนึ่งปัจจัยความสำเร็จฮงจะ “เล่นหุ้นเป็นกลุ่ม” ประมาณ 7-8 คน เทคนิคการเล่นจะคล้ายๆ กัน พวกเขานัดเจอกันที่ “สโมสรทหารบก” ทุกๆ 2 สัปดาห์ ไม่วันเสาร์ก็วันอาทิตย์ เว้นว่าช่วงไหนตลาดหุ้นดีๆ ก็จะเจอกันสัปดาห์ละครั้ง กิจกรรมที่ทำจะเช่าห้องฉายโปรเจ็คเตอร์เพื่อแชร์ข้อมูลกัน คนไหนถนัดดูกราฟก็จะมาบอกว่าเส้นกราฟเทคนิคหุ้นตัวไหนสวย ใครถนัดพื้นฐานก็จะนำข้อมูลมาเล่าสู่กันฟัง

ส่วนการซื้อขายแต่ละคนจะตัดสินใจเอาเองไม่ค่อยบอกกัน ถ้ามีหุ้นตัวไหนเข้าตาฮงชอบสั่งซื้อหุ้นวันจันทร์ ซื้อเสร็จไม่เคยกำหนดว่าต้องถือยาวหรือสั้น ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสถานการณ์จะเป็นตัวบอก แต่เขาจะเตือนตัวเองเสมอว่า “เล่นหุ้นต้องเล่นแบบ “ไร้ใจ” ถ้าใช้อารมณ์เล่นหุ้น (รัก-โลภ-โกรธ-หลง) มีโอกาสขาดทุนสูง ผมจะพยายามคิดเสมอว่าหุ้นตัวนี้ไม่ใช่ญาติเรา ไม่รัก ไม่เกลียด”

ในยามที่ตลาดหุ้นไม่น่าไว้วางใจฮงจะเล่นหุ้นด้วยบัญชีเงินสด ปัจจุบันซื้อขายประจำอยู่ที่ บล.เคทีซีมิโก้ ตามมาร์เก็ตติ้งคู่ใจย้ายมาจาก บล.พัฒนสิน

ล่าสุดในพอร์ตมีหุ้นอยู่ 3 ตัว ได้แก่ BCP ต้นทุน 21 บาท มองว่าหุ้นบางจากราคายังต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานมาก ถ้าผลประกอบการไตรมาส 2 ออกมาสวยเหมือนไตรมาสแรก ก็อาจปรับราคาเป้าหมายขึ้นไปอีก บางจากถือเป็นหุ้นโรงกลั่นตัวเดียวที่มีค่า P/BV ต่ำที่สุด

อีกตัวที่ลงทุนอยู่คือหุ้น HEMRAJ ซื้อมาได้เดือนกว่าๆ แล้ว ต้นทุนแถว 2.10 บาท ชอบเพราะปี 2555 จะมีรายได้จากธุรกิจโรงไฟฟ้าทำให้บริษัทมีความมั่นคงมากขึ้น และหลังเกิดสึนามิทำให้ญี่ปุ่นต้องย้ายฐานการผลิตมาเมืองไทย เหมราชก็จะได้ประโยชน์

ตัวสุดท้ายที่ลงทุนคือหุ้น CENTEL ตัวนี้ต้นทุน 7.30 บาท เก็บเพราะเห็นว่าผลประกอบการในไตรมาส 1 ปีนี้พลิกจากปี 2553 ขาดทุน 51 ล้านบาท มาเป็นกำไรสุทธิ 400 ล้านบาท ถือเป็นการทำนิวไฮในรอบ 5 ปี เพราะธุรกิจอาหารเติบโตมากขึ้น ธุรกิจโรงแรมก็ยังขยายตัวได้ดีอัตราการเข้าพักเพิ่มจาก 50-60% เป็น 70%

นอกจากหุ้นทั้ง 3 ตัวนี้แล้ว หุ้นตัวอื่นๆ ฮงบอกว่า ตอบตรงๆ ตอนนี้ยังหาตัวที่ถูกใจไม่เจอเลย วันนี้ยอมรับว่าสนใจลงทุนหุ้นต่างประเทศ แต่ยัง “เล่นยาก” เคยถามคนที่ลงทุน “หุ้นจีน” เขาบอกว่า “น่ากลัวมาก” บริษัทจีนมีการลงบัญชีไม่ค่อยโปร่งใสถ้าสุ่มสี่สุ่มห้ามีหวังขาดทุน ถ้ามีประสบการณ์แล้วเดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังอีกครั้ง

ถามว่าเคยคิดอยากเป็นเจ้าของบริษัทจดทะเบียนหรือไม่ เด็กหนุ่ม ตอบว่า แม้การซื้อหุ้นคือ “การซื้อธุรกิจ” แต่ไม่ได้หมายความว่าอยากเข้ามาบริหาร “ผมไม่คิดที่จะ “ผูกพัน” กับหุ้นตัวไหน แค่ต้องการเข้ามา “เสพสุข” (จากกำไร) เท่านั้น ได้ตามเป้าหมายแล้วก็จะไป”

ฮงเล่าว่า ตลาดหุ้นสมัยนี้คนอายุ 22-23 ปีขึ้นไป เข้ามาเล่นหุ้นกันค่อนข้างมาก จบปริญญาโทมาเล่นหุ้นก็มีเยอะ ส่วนตัวอยากแนะนำ “มือใหม่ที่เพิ่งหัดคลาน” ว่า ควรเริ่มลงทุนด้วยเงิน “ก้อนเล็กๆ” ก่อนสัก 100,000 บาท หากยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย แล้วหุ้นที่ใช้ “ฝึกมือ” ควรเป็นพวกหุ้น “โรงไฟฟ้า-ค้าปลีก” เพราะธุรกิจเข้าใจง่าย ราคาหุ้นไม่ผันผวนมาก เมื่อมีประสบการณ์แล้วก็ค่อยขยับมาเล่นหุ้นยากๆ อย่างกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งหุ้นพวกนี้ถ้าจับจังหวะถูกจะได้กำไรเยอะ (รวยเร็ว)

“หุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ ผมจะถนัดกลุ่มอุตสาหกรรมประเภทแผ่นฟิล์ม สินค้าเกษตร กลุ่มอื่นๆ ยอมรับว่ายังไม่ค่อยชำนาญ”

ฮงย้ำว่า ข้อผิดพลาดของนักลงทุนจำนวนมากชอบซื้อหุ้นตามคำแนะนำของเพื่อน หรือซื้อตามโบรกเกอร์โดยที่คุณไม่รู้ข้อมูลอะไรเลย เท่าที่พบ 90% จะขาดทุน คนที่จะทำกำไรจากตลาดหุ้น (ยุคนี้) ต้องศึกษาหาความรู้ รู้ทุกซอกทุกมุมของหุ้น

“ผมโชคดีที่เล่นหุ้นตั้งแต่เรียนปี 1 ม.กรุงเทพ กว่าจะจับจุดได้ (รู้ความลับตลาดหุ้น) ใช้เวลานาน 2-3 ปี ผมจะยึดอาชีพนักลงทุนเลี้ยงตัวเองไปเรื่อยๆ ตั้งแต่เรียนจบก็ไม่เคยไปทำงานบริษัท ทุกวันนี้ผมมีเงินทำอะไรได้หลายๆ อย่าง อย่างที่เพื่อนๆ ไม่มี” เซียนหุ้นวัยเบญจเพส กล่าวทิ้งท้าย

Comments (39)

การเล่นหุ้นหลังวิกฤติ

บทเรียนจากวิกฤติ subprime

1.การเล่นมาร์จิ้นเป็นอันตรายมากเพราะมีหุ้นหลายตัวที่สามารถลงจากจูดสูงสุดของปีลงไปถึง bottom ได้70-80% ทีเดียว หุ้นเหล่านั้นหลายตัวเป็นหุ้นยอดฮิตสำหรับ vi ในช่วงปี 2549-2550 ด้วยดังนั้นการที่คุณเล่น margin เยอะๆแล้วเจอวิกฤติพอร์ตคุณอาจเสียหายได้ตั้งแต่ 70-90% เลยทีเดียว ข้อแนะนำของผมถ้าคุณจะใช้มาร์จิ้นไม่ควรใช้เกิน 20-30% และคุณจำเป็นต้องคำนึงถึงสภาพคล่องด้วยเพราะเวลาที่ตลาดเลวร้ายมากๆ bid จะแทบหายไปเลยถ้าคุณมีหุ้นบางตัวหลายล้านหุ้นแต่บิดช่องละไม่กี่หมื่นและยังเจอความกดดันจากสภาวะอาจโดน force sell คงเสียสุขภาพจิตมากเกินไป

2.เลือกหุ้นที่มีความสามารถในการทำกำไรและมีความถูกในแง่ของสินทรัพย์จะเป็นทั้งโล่และดาบที่ดีให้กับเรา เช่น หุ้น ps เป็นหุ้นที่เข้าตลาดในช่วงปลายปี 2005 ซึ่งเป็นบริษัทที่สามารถทำยอดจองได้เติบโตสูงมากต่อเนื่องแทบจะ all time high รายไตรมาสก่อนที่จะเจอภาวะ subprime แต่ในภาวะ subprime บริษัทกลับลงมาจนต่ำกว่าราคาสมัย ipo ในจุดนี้ถ้าไม่เกิดวิกฤติเราคงจะไม่ได้ซื้อหุ้น ps ที่มีการเติบโตมี roe สูงกว่า 20% ต่อเนื่องในราคาต่ำขนาดนั้นแต่ประเด็นก็คือภาวะวิกฤติจะทำให้เราไม่แน่ใจว่าบริษัทจะมีกำไรถดถอยไปจนเหลือเท่าไหร่กันแน่ ดังนั้นเราจึงอาจจะหาเบาะป้องกัน downside risk เพิ่มจากธรรมดาทั่วไปอีกก็คือ การใช้อัตราส่วนอย่าง nav ,liquidation value เป็นต้น ในกรณีของ ps เราทราบแล้วว่าบริษัทมีความสามารถในการทำกำไรสูงแต่เรายังสามารถดูมูลค่าเลิกกิจการของ ps ได้จากการนำเอา current asset –total liability แล้วเอาตัวเลขที่ว่าเทียบกับ market cap ซึ่งถือว่าเป็นการวัดคร่าวๆว่าสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทสูงขนาดไหน โดยนับเฉพาะสินทรัพย์ที่หมุนเร็วมาลบกับหนี้สินทั้งหมดเลย แนวคิดลักษณะนี้น่าจะเรียกได้ว่าเป็นหุ้นก้นบุหรี่ในนิยามของ graham ในตอนนั้นถ้าเรานำงบในช่วง q3-2008 ของ ps มาคำนวณมูลค่าเลิกกิจการจะได้ตัวเลขที่สูงเทียบเท่ากับ market cap ของหุ้นตอนที่เจอขายลงมาหนักๆแถวๆ(เรื่องหุ้นที่ขึ้นเกือบ 10 เท่าจากกลุ่ม property จะมีรายละเอียดในภาค 2 ของหุ้นสิบเด้ง)3 บาทเศษ ผมว่าถ้าเราไม่แน่ใจว่าวิกฤติจะฟื้นตัวเมื่อไหร่การหาหุ้นโตเร็วและมีความสามารถทางการทำกำไรสูงๆโดยวัดจาก presale growth(อสังหาริมทรัพย์ใช้ presale แทน sale)และ roe สูง และยังมีสภาพคล่องสูงเมื่อเทียบกับหนี้สินแล้วเรียกว่าต่อให้เลิกกิจการไปเลยผู้ถือหุ้นก็ไม่ขาดทุน ต่อให้วิกฤติไม่ฟื้นตัวเร็วเราคงเจ็บตัวน้อย ความเห็นของผมคือในวิกฤติครั้งหน้าเราควรเลือกหุ้นที่ความสามารถในการทำกำไรสูงและเป็นก้นบุหรี่ไปด้วยเพราะมันน่าจะช่วยเพิ่ม risk / reward ในการลงทุนหุ้นกับเราได้มากกว่าหุ้นที่ทำกำไรสูงแต่ราคาลงเพียงอย่างเดียว

3.หาหุ้นที่บริษัทมีรายการ one time loss หนักๆและตลาดเหมือนจะให้น้ำหนักกับ one time loss ราวกับว่าเป็นการขาดทุนจากการดำเนินงาน เช่นในกรณีที่หุ้นโรงกลั่นหลายตัวมี stock loss มากมายจากการที่ราคาน้ำมันลงเร็วมาก หรือ thai ที่ไปทำสัญญาซื้อราคาน้ำมันเอาไว้สูงๆก่อนน้ำมันลงแรง tvo ที่มีการขาดทุน stock ถั่วเหลือง kce ที่มีการ hedge ทองแดงผิดพลาด scsmg ที่มีรายการขาดทุนจากการลงทุนในหุ้นมโหฬารบานตะไท และอื่นๆอีกมากมายเหลือที่จะกล่าวได้หมด การเล่นหุ้นแนวนี้อาจจะไม่ได้ให้ผลตอบแทนสูงสุดเมื่อเกิดการฟื้นตัวเพราะหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดเมื่อวิกฤติกลับตัวคือหุ้นที่ยอดขายและกำไรทำนิวไฮได้เร็วกว่าหุ้นตัวอื่นๆ เช่น cpf เป็นต้น เพียงแต่เราไม่สามารถรู้ได้ว่าวิกฤติจะนานแค่ไหนถ้าเราเลือกหุ้นที่ถูก bomd down ลงมาจาก one time loss มากที่สุดนั้นหมายความว่าไตรมาสต่อๆไปทั้ง qoq และ yoy คงจะยากที่จะเลวร้ายมากกว่าไตรมาสที่มี one time loss มากๆ ถ้าราคาหุ้นลงมาแรงมากแล้วและไตรมาสต่อๆไปมีแต่จะดีขึ้น และบริษัทที่เราเลือกเป็นผู้นำใน อุตสาหกรรมนั้น นั้นจะเป็นการลงทุนที่ downside ต่ำมากๆเช่นกัน ในกรณีนี้ถ้าเราเห็นว่าอุตสาหกรรมไหนฟื้นตัวเราค่อยขายหุ้นพวกนี้ออกไปซื้อพวกที่เห็นการฟื้นตัวแล้วก็ได้ (ตัวอย่างในข้อ 4)หุ้นพวกนี้ถือเป็นหุ้นที่ risk ค่อนข้างน้อย ทำให้ risk /reward ของนักลงทุนถือว่าสูง

4.เมื่อภาวะตลาดเริ่มฟื้นตัวเริ่มมีการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้วหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงมากคือหุ้นที่ทำกำไรนิวไฮกำไรของช่วง subprime ได้ก่อน ยกตัวอย่างเช่น cpf กำไรในไตรมาสที่สองของ cpf ที่ระดับ 3193 ล้านในไตรมาส 2 /2552 นั้นถือว่าสูงสุโค่ยยยยเมื่อดูย้อนหลัง cpf เป็นที่ให้ผลตอบแทนในปี 2009 สูงมากๆเพราะการที่เศรษฐกิจเพิ่งเริ่มฟื้นตัวยอดขายและกำไรของบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่จะยังต่ำเมื่อดูย้อนหลังไปซัก 7-8 ไตรมาส นั้นหมายความว่าบริษัทไหนทำกำไรนิวไฮได้ก่อน นั้นคือ the star ที่คุณควรโหวตให้ได้ออกอัลบั้มนะจ๊ะ(รายละเอียดเรื่องนี้พูดไปแล้วในงานสัมนาที่ผ่านมา) โฆษณาจบแล้วก็ต่อเนื้อหากัน หลายตัวที่กำไรนิวไฮเกิดจากอะไรก็มีเหตุผลมากมาย ส่วนนึงจะเป็นเรื่องต้นทุนอย่าง cpf ราคาหมูไก่ เฉลี่ยของปี 2009 แถบจะไม่น้อยกว่าปี 2008 แต่ต้นทุนอย่างกากถั่วเหลืองกับข้าวโพดลงเพราะว่าเป็นพลังงานทางเลือกแบบนึง พอราคาน้ำมันตกต่ำพวกนี้ demand หดหาย cpf ก็รู้งานมีข้าวโพด กากถั่วเหลืองตอนราคาต่ำๆตุนเอาไว้ใช้ได้นานหลายเดือนแล้วจะกำไรไม่ดีได้อย่างไร จริงไหมมมมพี่น้องงงงงงงง อีกหลายตัวที่กำไรนิวไฮในช่วงนั้นก็ได้ประโยชน์จากต้นทุนวัตถุดิบที่เป็น commo ราคาล่วงลงเยอะเมื่อเทียบกับปี 2008 ตัวอย่างเหล่านี้ก็เคยพูดไปแล้วในงานสัมนาที่ผ่านมา

5.จังหวะในการลงทุนซื้อหุ้นที่ดีถ้ามองจากภาพใหญ่คือตอนที่ดอกเบี้ยของ usa ถึงจุดต่ำสุดหรือ last cut of fed fund rate สถิติเรื่องการ last cut of fed ย้อนหลังนั้นนักลงทุนจะเป็นต่อในการลงทุนสูงมากเพราะหลังจาก last cut แล้ว set มักจะบวกได้มากกว่า 10-15% เป็นอย่างน้อยในระยะเวลา 3-6 เดือนเหตุผลก็คือว่าเมื่อดอกเบี้ยต่ำมากๆสุดท้ายการลงทุนในหุ้นจะให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับการลงทุนในรูปแบบอื่นๆ ในภาวะที่ดอกเบี้ยต่ำติดดินหุ้นอย่าง ps ในช่วงปี 2009 ให้ปันผลมากกว่า 10% หุ้นอย่าง lpn spali ในตอนนั้นก็ให้ปันผลมากถึง 17-20% จริงๆแล้วนับเป็นสิ่งที่สวนทางกันอย่างมากเพราะราคาหุ้นลงเพราะคนมองเศรษฐกิจไม่ดีราคาก็เลยลงจนถึงจุดที่ dps เทียบกับ price สูงมากๆ แต่เพราะเศรษฐกิจไม่ดีนั้นแหละที่ทำให้เกิดการลดดอกเบี้ยจนต่ำมากๆซึ่งเมื่อฝุ่นหายตลบคนก็เริ่มเห็นว่าอะไรกันเฉพาะปันผลของหุ้นก็สูงกว่าภาวะปกติมากๆแต่ดอกเบี้ยกลับต่ำกว่าภาวะปกติมากๆ ทางเลือกในการเอาเงินมาลงทุนจึงดูน่าสนใจมากเมื่อเทียบกับการลงทุนในแบบอื่นในภาวะแบบนั้น

สุดท้ายนี้ขอใช้พื้นที่ชี้แจงเรื่องเอกสารของงานสัมนาที่ผ่านมาที่มีผู้ร่วมสัมนาบอกว่าเอกสารมองไม่ชัดและมีไม่ครบแต่ไม่สามารถส่งไฟล์ให้ได้นั้น เนื่องจากว่าเนื้อหาในเอกสารบางส่วนเป็นเนื้อหาที่ทีมงานหลายๆท่านทำร่วมกับผมและเขาไม่ต้องการให้ออกไปสู่ที่สาธารณะจึงได้ตกลงกันว่าจะไม่มีการส่ง soft file ออกไป ดังนั้นต้องขออภัยผู้ร่วมสัมนาด้วย ครั้งหน้าเอกสารจะชัดกว่านี้และได้ครบมากขึ้นแน่นอนครับ ขออภัยอีกครั้งเนื่องจากเป็นมติของกลุ่ม ath club ครับ

Comments (15)

comment งานสัมนา

อันนี้เป็นของรางวัลย่อยสำหรับเกมส์วันพรุ่งนี้ครับ

อันนี้ของรางวัลใหญ่เป็นของที่หาซื้อไม่ได้อีกแล้วมูลค่าชุดละ 2500 เป็นที่สุดของวิชา money management วิชาที่สำคัญมากที่แทบไม่มีหนังสือหุ้นเล่มไหนในเมืองไทยพูดถึงมีทั้งหนังสือ vcd ซองและที่คั่นหนังสือ เป็น collection ล่ำค่า

อันนี้เป็น pwp ที่จะพูดวันพรุ่งนี้เป็นสไล handmade 100% โดยผมและทีมงานตกแต่งให้ดูง่ายเข้าใจง่ายที่สุดเพื่อช่วยให้เข้าใจอดีตของหุ้น winner stock ทุกตัว

ีต่อจากนี้คือ update ในงานสัมนา

ถามว่าใครมาจากที่ไหนบ้าง

ภาพนี้ rieter กำลังอธิบายว่าเวลาเราดู pe ควรจะต้องคำนึงถึงคุณภาพกำไร การเติบโต กระแสเงินสดของกิจการอย่างไร


reiter กำลังอธิบายเรื่องของ pbv ว่าใช้อย่างไร

ผู้กล้าที่ขึ้นมาตอบคำถามแล้วก็ได้รางวัลเป็นหนังสือการลงทุนต่างประเทศไป

คนนี้ผู้กล้า picklife ตอบทุกคำถามผิดบ้างถูกบ้างแต่ก็ขอให้ได้ตอบ

ผมเริ่มบรรยายเรื่อง winner stock case study ว่าหุ้นหลังวิกฤติตัวไหนบ้างที่ขึ้นมาแล้ว 10 เท่าตัว โดยเกณฑ์คือ ต้องขึ้น 10 เท่าไม่เกินปลายปี 2010 เนื่องจากเราไม่ชี้นำหุ้นจึงยกแต่ case study ที่จบไปแล้วในอดีตเท่านั้น

ผมกำลังบรรยายว่าทำไมหุ้นประเภท commodity ถึงมักเป็นหุ้นสิบเท่าตัวหลังวิกฤติ

อันนี้เป็นภาพว่าเกิดอะไรขึ้นกับ psl ในสมัยช่วง 2002-2004 ทำไมหุ้นเรือถึงกลายเป็นตำนานที่เล่าขานกันไม่จบ

อันนี้เป็นเฉลยประมาณการกำไรว่าถ้าเราดู ค่าเช่าเรือต่อวันต่อลำ และ ค่าใช้จ่ายในการเดินเรือต่อวันต่อลำเราจะคาดการณ์กำไรของหุ้นเรือในสมัยก่อนได้อย่างไร

อันนี้เป็นหุ้น 10 เด้งสมัย subprime กำลังอธิบายว่าทำไมการดูหุ้นฟิลม์จึงมักใช้ spread ของเมืองจีน

อันนี้เป็น quiz ว่าในช่วงขาขึ้นของวัฏจักรฟิลม์เราคิดว่า ptl ควรมี market cap มากกว่า aj ซักกี่เท่า

อัตราส่วน market cap ptl/aj ที่ผมทำขึ้นมาเพื่อดูว่าในช่วงหุ้นขาขึ้นในปี 2010 จะมีจังหวะในการ switch หุ้นอย่างไรได้บ้าง

ภาพนี้เป็นกำลังของ cpf ซึ่งผมกำลังอธิบายว่าจุดเปลี่ยนของ cpf เกิดในช่วง q2/52 ซึ่งตอนนั้นราคาหุ้นอยู่แถว 5 บาท

อธิบายว่าหลังจากงบ q2/52 ออกมาในตอนนั้นที่ cpf อยู่แถวๆ 5-6 บาทเราจะวิเคราะหืต่อยอดว่า cpf น่าจะเป็นดาวรุ่งได้อย่างไร

อัตราส่วนทางการเงินของหุ้นยานยนต์ 7 ตัว 4 ปีช่วงปี 2548-2551 ว่าช่วงวิกฤติเราจะเลือกบริษัทยานยนต์ตัวไหนไว้ใน watch list ของเราบ้างดี

bargain hunter อันดับโลกได้พูดไว้ว่าให้ซื้อหุ้นเมื่อทุกคนมองโลกเลวร้ายถึงขีดสุด ผมยกขึ้นมาพร้อมอธิบายว่า sat ตอน 3.2 ตรงกับคำว่า ultimate pessimism อย่างไร

อธิบายหุ้น turnaround kce ว่าทำไมหุ้นที่เคยลงไปตกต่ำเหลือแค่ 0.74 แล้วอะไรที่ทำให้ kce เป็นหุ้น turnaround ได้

 

หมอเคให้ปรัชญาการลงทุนที่ถูกต้องกับนักลงทุน

กำลังอธิบายว่าเวลาตลาดขาขึ้นควรจะเลือกอะไร

พูดถึงนักลงทุนมือใหม่ที่ชอบลอกการบ้านว่าไม่ถูกต้องควรจะรู้ว่าเขาซื้อเพราะอะไรไม่ใช่รู้แค่ว่าเขาซื้อหุ้นตัวไหนแล้วจะไปซื้อตาม

อธิบายหลักการของ อาจารย์ billy bremner

ให้ภาพว่าจะดูหุ้นวัฏจักรอย่างไร

มอบดอกไม้ให้อาจารย์ พี่แจ็ค

 

 

อันนี้ comment จากเพื่่อนๆฝั่ง twitter ขอเก็บไว้้เป็นที่ระลึกไม่งั้นเดี่ยวหายไปตาม tl ใหม่ๆ

Comments (100)

สภาพคล่องกับการลงทุน

แนวคิดดั้งเดิมของคนเล่นหุ้นเลยก็คือว่า สภาพคล่องเยอะๆดีหุ้นตัวเล็กๆซื้อขายน้อยๆอย่าเข้าไปยุ่ง ให้ซื้อแต่ตัวที่สภาพคล่องเยอะๆก็พอเวลาจะซื้อขายจะได้ทำได้ง่ายๆ

ต่อมา value investor ก็บอกว่าสภาพคล่องไม่ใช่ปัญหา สภาพคล่องที่น้อยแต่ value ของหุ้นสูงกว่ามูลค่าในกระดานย้อมน่าซื้อ เป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผลที่เราจะเอา value ของหุ้นไปแลกกับสภาพคล่อง เช่น หุ้นที่มี value น้อยกว่าแต่สภาพคล่องเยอะกว่าย้อมไม่ได้ดีไปกว่าหุ้นที่ value สูงแต่สภาพคล่องน้อยกว่า สรุปก็คือ สภาพคล่องไม่ควรถูกมองว่าเป็น value อย่างนึงของหุ้น เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่มีคนเห็นคุณค่าของมันสภาพคล่องก็จะมาเอง

ต่อมาก็มีคนที่ชอบเล่นหุ้นตัวเล็กๆเช่นกลุ่ม mai แล้วก็อัดมาร์จิ้นเยอะๆโดยใช้แนวคิดว่าไม่เป็นไรเดี่ยวมีคนเห็น value หุ้นก็ขึ้นเองซึ่งในภาวะปกติก็ไม่เป็นไรแต่พอเกิดวิกฤติ subprime พอร์ตการลงทุนก็ติดลบหนักกว่าตลาด ที่ติดลบหนักไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่รู้ว่าหุ้นไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิด แต่เป็นเพราะว่าถึงรู้ก็ออกไม่ได้ จึงนำมาซึ่งข้อสรุปบางอย่างอีกว่า ถ้าคุณจะเล่นหุ้นสภาพคล่องน้อยๆแล้วคิดว่าสุดท้ายต้องมีสภาพคล่องนั้นเป็นการมองว่าคุณจะต้องคิดถูกแน่นอน สุดท้ายหุ้นตัวนั้นต้องขึ้นสภาพคล่องต้องมา ซึ่งบนโลกของความเป็นจริงไม่มีใครที่คิดถูกตลอดเวลา จริงๆแล้วการที่หุ้นมีสภาพคล่องเยอะๆเป็นการเผื่อเหลือเผื่อขาดในกรณีที่คุณคิดผิดคุณจะได้ไม่ต้อง discount ราคาหุ้นลงไปจากราคาปัจจุบันเยอะมาก

นักลงทุนยิ่งเล่นหุ้นนานถ้าเล่นแล้วกำไรต่อเนื่องพอร์ตการลงทุนก็จะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆซึ่งจากที่เล่นแล้วไม่เคยมีปัญหาด้านสภาพคล่องเพราะว่าซื้อขายหุ้นตัวเล็กๆก็ทำได้ง่ายก็จะเริ่มมีปัญหาขึ้นมา ซึ่งนักลงทุนสำหรับปรับตัวเป็นอย่างมากกับขนาดพอร์ตที่ใหญ่ขึ้นไม่ใช่จะเล็กจะใหญ่กูก็อัดจิ้นกับหุ้นตัวเล็กๆตลอดเวลา แบบนี้ผมคิดว่าไม่ใช่วิธีการที่คำนึงถึงผลตอบแทนเปรียบเทียบความเสี่ยงแต่เป็นการคำนึงแต่ด้านของผลตอบแทน

ปัจจัยในการพิจรณาเรื่องสภาพคล่องเบื้องต้นของผมเป็นดังนี้

1.ความมั่นใจในการเล่นหุ้นตัวนั้น โดยพิจรณาจากการมีตัวเร่งทางพื้นฐานของหุ้นไหมเช่น หุ้นที่กำไรทำ new high ได้ปันผลค่อนข้างสูง ย่อมมีระยะเวลาในการหวังผลจากการลงทุนที่ชัดเจนกว่า หุ้นถูกโดยดูจาก pe pbv ถ้าซื้อหุ้นถูกเพื่อหวังว่าซักวันจะมีคนมาลากขึ้นไป แบบนี้ผมว่าคงต้องคิดเรื่องสภาพคล่องบ้างไม่งั้นถ้าไม่มีคนมาลากแล้วเราซื้อเยอะมากๆแล้วเกิดอยากออกคงไม่พ่นต้องเฉือนเนื้อตัวเอง

2.มีการกระจายการลงทุนมากน้อยแค่ไหน ถ้าคนๆนึงเล่นหุ้น 10 ตัวในพอร์ตกับอีกคนนึงเล่น 3 ตัวในพอร์ตคนที่เล่น 10 ตัวอาจจะเล่นหุ้นสภาพคล่องน้อยกว่าได้เพราะว่าเม็ดเงินลงทุนต่อหุ้นจะไม่สูงเท่ากับคนที่โฟกัสไม่กี่ตัว

3.มีการใช้มาร์จิ้นไหม คนเล่นมาร์จิ้นจะต้องคำนึงถึงสภาพคล่องสุดๆเนื่องจากการใช้มาร์จิ้นเยอะๆจะมีการถูก force sell ได้และถ้าสภาพคล่องหุ้นไม่เยอะเกิดมีคนโยนจนหุ้นติดลบมากๆแล้วเราอยากจะขายแต่ bid ไม่เพียงพอ นั้นคงเป็นหายนะของการลงทุนเลยทีเดียว

Comments (3)

คุณ ih ครับ ภาค 22

หุ้นประเภท economic cycal นั้นไม่ได้มี five force model ที่ดีมากนักเนื่องจากจะถูกกดดันจากแรงบีบของลูกค้าเมื่อลูกค้าได้ order เพิ่มเพราะลูกค้ามักจะใหญ่กว่าตัวเอง
ที่นี้ หุ้นแต่ละตัวก็คงจะมี model ที่แตกต่างกันรวมไปถึง pe ที่แตกต่างกันด้วย
เท่าที่สังเกตุมีหุ้นที่ pe ค่อนข้างจะสูงอยู่สองตัวคือ stanly ,sat
ผมดูแล้วมีความคล้ายกันในแ่ง่ของ roe ที่สูงกว่า 20% เฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 5-6 ปีย้อนหลัง
คำถามคือ

1 roe ที่สูงโดยเฉลี่ยน่าจะมีส่วนที่ทำให้หุ้น pe สูงด้วยใช่หรือไม่เนื่องจากมันสะท้อนถึงโครงสร้างทางการเงินที่เหมาะสมและผล ตอบแทนที่กลับมาในส่วนของผู้ถือหุ้นได้ค่อนข้างดี

– ครับ ควรจะเป็นอย่างนั้นครับ หุ้นที่มี roe ต่ำกว่าที่ควรจะเป็นหลายตัวก็เกิดจากการไม่มีหนี้เลยและอีกทั้งอาจจะสะสม เงินสดไว้กับตัวมากเกินไปด้วยครับ รวมถึงหลายตัวก็มีประสิทธิภาพในการทำกำไร ( net margin ) และประสิทธิภาพการใช้สินทรัพย์ ( ROA ) ที่ต่ำ

2.stanly มี roe ที่สูงและ d/e ที่ต่ำแต่ sat มี roe ที่สูงและ d/e ที่สูง
นั้นแสดงว่า roe ของ sat มีโอกาศเกิดจากการที่ใช้ equity น้อยเมื่อเทียบกับ debt
ดังนั้น roe ของ sat คุณภาพไม่น่าจะสู้ของ stanly ได้ ไม่ทราบว่าคิดว่าเกี่ยวหรือไม่

– ถ้า ROE เท่ากัน หุ้นที่ D/E ต่ำกว่าจะน่าสนใจกว่าเพราะแสดงว่ามี ROA สูงกว่าครับ และมีความเสี่ยงทางการเงินน้อยกว่า ถ้าเปรียบเทียบก็เหมือน port การลงทุน 2 พอร์ต ให้ผลตอบแทนการลงทุน 40% ต่อปีเท่ากัน พอร์ตแรกไม่ใช้ margin loan เลย แต่ port ที่ 2 ใช้ margin 70-80% พอร์ตแรกย่อมดีกว่าครับเพราะเสี่ยงน้อยกว่าและมี roa สูงกว่า

3.ใน ทางกลับกันถ้าเราเจอบริษัทที่ d/e ต่ำแต่ roe สูงในที่นี้ผมสมมุติคำว่าต่ำคือ น้อยกว่า 0.5 ลงไป เราจะสามารถพูดได้ไหมว่านี้คือบริษัทที่มีความสามารถในการทำกำไรที่ดีแต่มี โครงสร้างทางการเงินที่ conservative เกินไปเพราะถ้าบริษัทกู้มากขึ้นและใช้ส่วนของทุนน้อยลงจนทำให้ d/e สูงขึ้นไป .8-.9 บริษัทก็ยังไม่ถึงขั้นเสี่ยงแต่ผู้ถือหุ้นจะได้ return สูงขึ้น กรณีตัวอย่างบริษัทนี้คือ stanly

– ต้องดูประเภทธุรกิจด้วยครับ ธุรกิจที่ high operation risk คือ พวกที่เป็น economic cyclical ไม่ควร take financial risk มากไปครับ อย่างกลุ่ม auto ก็ถือว่าเป็น economic cyclical ครับ คล้ายๆ กับว่าถ้าเรามีอาชีพที่มีรายได้สูงแต่ไม่มั่นคง ถ้าจะซื้อบ้านซื้อรถควรซื้อเงินสดหรือถ้าผ่อนควรจะผ่อนให้สั้นที่สุด ยกตัวอย่างเช่น นักกีฬาหรือดารา ไม่ควรซื้อบ้านเงินผ่อน 30 ปีครับ ธุรกิจที่จะ take D/E ได้สูงๆ คือธุรกิจที่เป็นสินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็น ( low economic cylical ) หรือหุ้นที่มีรายได้จากค่าเช่าที่ค่อนข้างมั่นคงเช่น CPN Ticon หรือ SF ครับ

อีกธุรกิจหนึ่งที่มี operating risk สูงแต่กลับมี D/E สูงซึ่งเสี่ยงมากคือ สถาบันการเงิน เพราะในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำจะมี NPL เกิดขึ้นมากในขณะที่ D/E ของสถาบันการเงินสูงถึง 5-10 เท่า ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่พอเกิดวิกฤติเศรษฐกิจทีไรจะต้องมีสถาบันการเงินล้ม ละลายหรือปิดตัวไป แม้จะอยู่รอดได้แต่ราคาหุ้นก็ตกต่ำมากและจำเป็นต้องเพิ่มทุน แม้แต่สถาบันการเงินในสหรัฐก็หนีไม่พ้น ดังนั้นถ้าจะซื้อหุ้นแบบถือลืมถือยาวไม่ควรไปถือหุ้นสถาบันการเงินครับเพราะ เป็นหุ้นที่ไม่ปลอดภัยในภาวะวิกฤติ

อีกพวกที่ มี high operating risk แต่ high p/e ( financial risk ) ก็คือหุ้นโรงกลั่นและสายการบินครับ ถ้าไปดู track record หุ้นเหล่านี้จะไม่ค่อยให้ long term return ที่ดีเท่าไหร่ครับ

4.การดู roe ของหุ้นอสังหาริมทรัพย์นั้นดูเหมือนจะไม่ใช่ประเด็นที่ตลาดจะตีค่า pe ให้สูงเช่นบริษัท spali ที่มี pe ค่อนข้างต่ำแต่มี gm ที่สูงและ roe ที่สูงแต่พอไปดูตัวเลขเช่น inventory turnover แล้วค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับบริษัทเช่น ps จุดนี้จะสะท้อนถึงงบกระแสเงินสดได้ใช่ไหมว่าบริษัท develop ที่มีการขายเร็วและ stock น้อยจะมีเงินสดสูงกว่าจึงทำให้ pe ของ ps สูงกว่า แบบนี้เราจะบอกได้หรือไม่ว่าหุ้น develop นั้น roe ,gm อาจจะเป็นประเด็นรองสำหรับตลาดในการให้ pe ถ้าเทียบกับความสามารถในการขายเร็วและบริหาร stock

– ถ้า Roe สูงแต่ inventory turnover ต่ำก็จะทำให้การเติบโตต้องใช้ working cap มากซึ่งก็จะทำให้ D/E สูงขึ้นและอาจจะนำมาซึ่งการจ่ายปันผลใน % ที่ลดลงและตามมาด้วยการเพิ่มทุนได้ครับ กรณีของ ps สามารถเติบโตได้ด้วยการพยายามลด inventory turnover ลงไปมากจึงทำให้เพิ่มยอดขายได้มากโดยที่ D/E เพิ่มไม่มากเกินไปและทำให้ไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุน

5.ในทางกลับกัน การตีค่าของ pe ที่ตลาดให้ในหุ้นอิเล็กทรอนิก ไม่แน่ใจว่าจะขึ้นอยู่กับประเด็นไหน เช่น kce มี gross margin ที่สูงระดับเกิน 20% มาจากความสามารถในการบริษัทจัดการที่ดีขึ้นของเสียลดลง แต่ดูเหมือนตลาดจะให้ pe ไม่สูงเท่าหุ้นพวก hana delta smt ซึ่งในกรณีนี้ผมเดาว่าตลาดคงเห็นว่าความสามารถในการทำกำไร และ roe ของ kce สู้หุ้นตัวอื่นที่กล่าวมาไม่ได้เพราะวัดจาก roe ย้อนหลังหลายๆปีแล้ว roe ของ kce เพิ่งจะมาดี ดังนั้นเราพอจะสรุปได้ไหมว่า หุ้นกลับตัวหรือมีการบริหารจัดการที่ดีขึ้นแม้ว่าอัตราการทำกำไรเช่น gm จะสูงมากแทบเรียกได้ว่าสูงที่สุดแต่ตลาดก็อาจมองว่าไม่ stable จึงไม่ปรับ pe
กรณีนี้นำมาซึ่งคำถามคือ

5.1ถ้า kce สามารถรักษาระดับกำไรขั้นต้นที่สูงต่อเนื่องได้พี่ ih คิดว่าเขาจะมีโอกาศได้ปรับ pe ไปเท่าตัวอื่นไหม หรือต้องดูว่าใครมี capex ในการรักษาความสามารถทางการแข่งขันสูงและต่อเพิ่มเติมหรือมีประเด็นไหนเพิ่ม เติมอีก

– ที่ kce มี p/e ไม่สูงนัก น่าจะมาจาก 2 สาเหตุหลัก อย่างแรกคือ D/E ที่ 2 เท่ากว่าๆ สูงเกินไปสำหรับหุ้นในกลุ่มนี้ที่รายได้มีความผันผวนกับเศรษฐกิจโลก ซึ่งการที่มี d/e สูงทำให้มี fixed cost คือ ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยต่อรายได้ในสัดส่วนที่สูงกว่าหุ้นคู่แข่ง ซึ่งหากรายได้ลดลงก็เสี่ยงที่จะขาดทุนได้ สาเหตุที่ 2 ก็เกี่ยวข้องกับสาเหตุแรกอยู่บ้างคือ การที่ kce มีประวัติการทำกำไรที่เคยขาดทุนสลับกับกำไรมาก่อนเลยทำให้นักลงทุนไม่มั่นใจ ในความต่อเนื่องของการทำกำไรจึงไม่กล้าให้ p/e สูงขึ้นครับ นอกจากนี้การที่ d/e ของ kce สูงขนาดนั้นน่าจะสะท้อนว่า kce น่าจะเป็นหุ้นที่ต้องมีการลงทุนสูงเพื่อขยายการผลิตหรือเพื่อรักษาความ สามารถในการแข่งขันครับ

5.2ในทางกลับกันดูเหมือน smt จะ pe สูงมากทั้งๆที่เพิ่งเข้าตลาดได้ไม่นาน ผมคิดว่าอาจจเพราะเป็นบริษัทสามารถสื่อให้กับนักลงทุนเข้าใจว่าบริษัทอจะ สามารถเจาะสินค้าที่เป็น high growth ได้ ไม่ทราบว่ามีความเห็นอย่างไรครับ

– ดาราที่รับงาน presentor มากที่สุด อาจจะไม่ใช่ดาราที่หน้าตาดีที่สุดหรือนิสัยดีสุดก็ได้ครับ เรื่องการสร้างภาพลักษณ์และสร้างเสน่ห์ความตื่นเต้นก็สำคัญ จะเห็นได้เลยว่าดาราระดับ top ที่มีสินค้าในมือมากๆ จะต้องมีข่าวออกสื่อประจำไม่ว่าจะเป็นข่าวดีหรือข่าวเมาท์ก็ตาม สำหรับหุ้นที่ถามมานี้ตั้งแต่เข้าตลาดก็มี growth ให้เห็นและผู้บริหารก็ทำการสื่อสารกับนักลงทุนได้ดีครับ หุ้นที่มี p/e สูงก็แสดงว่านักลงทุนคาดหวังการเติบโตอยู่พอสมควร ส่วนราคาหุ้นระยะยาวจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับว่าบริษัทจะ deliver growth ได้ตามที่นักลงทุนคาดหวังไว้ ( ค่อนข้างสูง ) ได้หรือเปล่า

6.กรณี หุ้น cpf นั้นทำให้ได้เห็นว่าหุ้น cycle ในยุคหลังได้เปลี่ยนไปเพราะ cycle เกษตรใครๆก็บอกว่าสั้น cpf ไม่เคยทำกำไรได้ดีติดต่อกันสองปี แต่ปรากฏว่าหักปากกาเซียนก็คือ ราคาหมูไก่ของปี 2010 สูงต่อเนื่องและกำไรก็ทำ new high ซ้ำพร้อมกับราคาหุ้นที่ขึ้นไปต่อจากจุดที่ทุกคนมองว่าแพงแล้วอีกเป็นเท่าตัว

ใน ทางกลับกันบริษัทแพ็คเกจจิ้งอย่าง ptl aj นั้นถ้าคนซื้อซื้อตอน pe ต่ำมากๆช่วงที่หุ้นลงไป bottom ปลายปี 2008-ต้นปี2009 ตอนนั้น pe จะต่ำมากแต่ได้ราคาต่ำและราคาหุ้นก็วิ่งขึ้นไปแรงมากและถ้าขายที่จุดพีค pe ก็ค่อนข้างสูง สูงในที่นี้นับทั้งกำไร 4 ไตรมาสย้อนหลังและกำไรคาดการณ์จบปี 2553

ดูเหมือนกับว่าหลักการซื้อหุ้น cycle ที่ ลินบอกว่าซื้อตอน pe สูงๆขายตอน pe ต่ำๆจะใช้ไม่ได้กับหุ้น cycle รอบล่าสุด

ไม่ทราบมีความเห็นอย่างไรครับ

– CPF ถ้ามอง 5-10 ปีย้อนหลังจะเห็นว่ารายได้เติบโตมาตลอด และตัวธุรกิจเองก็มีความได้เปรียบในการแข่งขันสูงมากเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ที่มีขนาดเล็กกว่ามาก ซึ่งก็ควรจะดีมานานแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้ CPF ไม่ perform มาตลอดก็คือ net margin ที่ต่ำและผันผวนทำให้เกิดความไม่มั่นคงของกำไร แต่ตั้งแต่ปี 52 เป็นต้นมา CPF มี net margin ที่สูงขึ้นตามลำดับและเริ่มมีความมั่นคงของกำไรมากขึ้น รวมถึงทางผู้ถือหุ้นใหญ่ก็มีแนวโน้มที่จะให้ความสำคัญของราคาหุ้นหรือ wealth ในตลาดหุ้นมากขึ้นมาก จึงทำให้นักลงทุน re-rated p/e มาเป็น p/e ของหุ้นจากหุ้น cyclical ที่มีกำไรไม่แน่นอนที่มักจะได้ p/e ต่ำมาเป็นหุ้น food ที่มีกำไรค่อนข้างแน่นอนและได้ p/e สูงขึ้นตาม แต่ระยะยาวๆ ก็คงต้องดูความสม่ำเสมอของกำไรอีกทีครับว่าสิ่งที่นักลงทุนคิดจะเป็นไปตาม นั้นไหม แต่การที่ผู้ถือหุ้นใหญ่สนใจเรื่อง wealth มากขึ้นนั้นช่วยได้เยอะเลยครับ ตามที่ผมเคยเขียนบทความเรื่อง “ Wealth หลักของผู้ถือหุ้น “ น่ะครับ

7.ในมุมกลับกันหุ้น psl ที่ต้นปี 2003 มีกำไรปี 2002 ประมาณ 400 กว่าล้าน market cap 500 เศษๆ pe ก็แค่ 1 เท่าเศษและหุ้นขึ้น 20 กว่าเด้งในปีเดียว ถึงแม้กำไรปี 2004 จะโตต่อจาก ปี 2003 แต่หุ้นก็ไม่ได้ขึ้นต่อแล้ว ซึ่งก็กลายเป็นว่าขายปี 2003 ปลายปีดีกว่า ซึ่งก็เข้าข่ายซื้อหุ้น cycle pe ถูกไปขายตอน pe แพงเช่นกัน
ซึ่งต่างจากหลักการที่คนส่วนใหญ่พูด
ไม่ทราบมีมุมมองว่าอย่างไรครับ

– Psl นั้นมาจากจุดที่นักลงทุนแทบจะลืมไปแล้วว่ามีหุ้นกลุ่มเรือในตลาดหุ้น และไม่มีใครสนใจทำการวิเคราะห์จริงจังเลย ดังนั้น psl จึง trade ที่ p/e ต่ำในช่วงที่ธุรกิจกำลัง bottom out จึงทำให้คนที่ลงทุนในช่วงนั้นจึงได้กำไรค่อนข้างมากและหลังจากนั้นหุ้นกลุ่ม เรือก็เป็นที่รู้จักมากขึ้น

ถ้าเรามาดูในปัจจุบันแม้ว่าหุ้นกลุ่ม เรือจะอยู่ในวัฎจักรขาลง แต่หุ้นเรือก็ยังถูกติดตามในระดับหนึ่งและยังมีบทวิเคราะห์ติดตามอยู่พอ สมควร ถึงทำให้ p/e หุ้นเรือในปัจจุบันอยู่ในระดับที่สูงคือประมาณ 20 เท่า ( คิดเฉพาะกำไรจากการดำเนินงานโดยไม่รวมกำไรจากการขายเรือ ) เพราะนักลงทุนเชื่อว่าเมื่อกำไรดีขึ้น p/e ก็จะลดลงมาเอง ดังนั้นขาลงรอบนี้ต่างจากรอบที่แล้วเพราะรอบนี้ยังมีคนสนใจอยู่พอสมควรเพราะ ภาพการทำกำไรหลายๆ เท่าของขาขึ้นรอบก่อนยังติดตาติดใจอยู่ครับจึงทำให้ราคาหุ้นและ p/e ไม่ได้ลดลงไปมาก แต่ถ้าถามความเห็นส่วนตัวของผม ผมคิดว่าวัฎจักรเรือยังห่างไกลจากจุดต่ำสุดเยอะครับเพราะค่าระวางเรือต่อวัน ในปัจจุบันยังอยู่ที่ 9,000-10,000 เหรียญต่อวันซึ่ง bottom รอบก่อนค่าระวางเรือลงไปถึง 4,000-5,000 ต่อวัน ซึ่งค่าระวางเรือในปัจจุบันที่ 1 หมื่นเหรียญนั้นยังไม่ได้ทำให้เรือเก่าที่มีอายุ 30 ปีปลดระวางเลยเพราะ cash operating cost ของการเดินเรืออยู่ที่ 4-5 พันเหรียญจึงทำใหเรือเก่าๆ ที่หมดภาระค่าเสื่อมและดอกเบี้ยแล้วสามารถวิ่งได้สบายๆ เมื่อเรือเก่าไม่ปลดระวางในขณะที่เรือที่สั่งต่อใหม่ยังเข้ามาเรื่อยๆ ก็ทำให้ค่าระวางเรือก็ไม่สามารถเป็นขาขึ้นได้ครับเพราะยังอยู่ในภาวะ oversupply

8 ไม่ทราบว่าคุณ ih มีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องการฟื้นตัวของหุ้นหลังจากปลายปี 2008 ครับ คือเนื่องจากว่าหุ้นในหลายๆกลุ่มที่ตัวฟื้นตัวแรงที่สุดก็คือตัวที่มี d/e สูงกว่าตัวอื่นค่อนข้างมาก

ผมยกตัวอย่างนะครับ sat ตอนนั้น d/e 1.48 เท่าในขณะที่ stanly มี d/e 0.24 เท่าสำหรับงบปี 2551 แต่ sat ขึ้นจาก bottom 10 เด้ง stanly 4 เด้งกว่า
พอมาดูในหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิก kce ขึ้นเยอะสุดเลยครับ 13 เด้ง แต่ตอนนั้น kce มี d/e 3 เท่าถือว่าสูงที่สุดเช่นกัน
หรืออย่างการบินไทย ตอนนั้นสภาพคล่องแทบเอาตัวไม่รอดแต่ขึ้นจาก bottom ขึ้นมาได้ถึง 8 เด้ง

โดย ส่วนตัวผมคิดว่าในเวลาที่เราไม่แน่ใจว่าเศรษฐกิจจะแย่นานแค่ไหนเราควรเลือก หุ้นที่งบแข็งแกร่งไว้ก่อนแต่เมื่อเราเห็นสัญญาณฟื้นตัวเราควรย้ายตัวไปเล่น ตัวที่มี d/e สูงแทนเนื่องจากหุ้นพวกนี้ตอนยังไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ราคาหุ้นจะลง ลึกกว่าพวกงบการเงินดีแต่เมื่อมีสัญญาณฟื้นตัวมันก็ทะยานได้ไกลกว่า และเมื่อยอดขายกลับมาดีการที่หุ้นพวกนี้คืนหนี้ได้ ก็มี room ในการ improve ตัวเองได้มากกว่าหุ้นที่งบการเงินดีด้วย

ไม่ทราบว่าคุณ ih มีความเห็นอย่างไรในประเด็นนี้ครับ

– การขายหุ้น defensive ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติน้อยและปรับตัวลงน้อยไปซื้อหุ้นที่ได้รับผลกระทบ มากและปรับตัวลงมากก็เป็นกลยุทธ์ที่สร้างผลตอบแทนได้สูงในช่วงที่ตลาดผ่าน จุดที่ลงหนักๆ มาแล้ว ซึ่งก็เป็นสิ่งที Buffet ก็ทำครับ Buffet ก็ขายหุ้นอุปโภคบริโภคมาซื้อหุ้นสถาบันการเงินในช่วง subprime ครับ อย่างไรก็ตามก็มีข้อแม้อยู่ว่าบริษัท high d/e ที่ราคาตกต่ำลงมากๆ จะต้องไม่เจ๊งหรือโดนลดทุน หรือจะไม่ต้องโดนแปลงหนี้เป็นทุนจนทำให้ dilute มากเกินไปด้วยนะครับ อย่าง crisis ครั้งที่ผ่านมาแม้ว่าหุ้นจะลงลึกแต่ก็ฟื้นเร็วและเป็นสิ่งที่อยู่นอกประเทศ ผลกระทบมาที่บ้านเราจึงไม่มากเท่าตอนปี 40 ครับ

9.เรื่องของ model dcf ที่แปลงเป็นค่า pe เช่น
ถ้า บริษัทได้เจ้าหนี้การค้านานก็จะมี cash flow ที่ดีและทำให้ model dcf ได้มูลค่าสูง และทำให้ pe สูงแต่จริงๆแล้วพอเราทำ dcf ในระยะยาวบริษัทก็ต้องคืนเงินเจ้าหนี้อยู่ดีและบริษัทที่มี กระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นบวกเยอะๆเพราะมีรายการเจ้าหนี้การค้าที่ เพิ่มขึ้นก็ไม่สามารถปันผลได้มากกว่ากำไรเพราะจะทำให้ส่วนของทุนลดลงจนถึง จุดนึงก็จะปันผลไม่ได้ ถูกไหมครับ

– ก็เป็นประเด็นที่ดีครับ เต็มที่ก็ปันผลได้เท่ากับกำไรครับ หรือมากกว่ากำไรได้เป็นบางปีครับ ไม่มีบริษัทใดสามารถปันผลได้มากกว่ากำไรในระยะยาวๆ ครับเพราะจะทำให้ equity ลดลงเข้าใกล้ 0 ครับ ดังนั้น model DCF ของหุ้นค้าปลีกถ้าเอาแบบ conservative ก็ควรจะ discount net profit ไปเลย หรือใช้เป็น dividend discounted model ครับ

แต่สิ่งที่ตลาดให้ pe กับหุ้นค้าปลีกก็คือให้สูงซึ่งดูสอดคล้องกับ model ที่ว่ามา
สิ่ง ที่ผมคิดคือการที่บริษัทได้เจ้าหนี้การค้าสูงๆนั้นสะท้อนถึงอำนาจต่อรองที่ มีมากและสะท้อนถึงความเสี่ยงที่น้อยกว่าในเรื่องของ cash cycle และบริษัทก็บริหารได้ง่ายกว่า เพียงแต่มองดูแล้วการได้เจ้าหนี้การค้าที่พอเข้า dcf model แล้วสุดท้ายก็ต้องคืนเงินเจ้าหนี้และปันผลจากส่วนนี้ไม่ได้ก็เลยอยากฟังความ เห็นของคุณ ih ในเรื่องนี้ดูบ้างน่ะครับ

– ผมคิดว่า p/e ของหุ้นค้าปลีกที่ได้สูงๆ นั้นน่าจะสะท้อน growth มากกว่า ถ้าจะสังเกตหุ้นค้าปลีกที่ได้ p/e ค่อนข้างสูงอย่าง CPALL HMPRO Robins ก็ไม่ใช่หุ้นที่ปันผลสูงมากนัก แต่มี growth ที่ดีมากระดับ 20-40% ต่อปีในช่วงนี้ และหุ้นที่ปันผล 100% ของกำไรแต่โตไม่มากก็ไม่ได้ p/e สูงเท่าไหร่ครับ แต่ใครสนใจคิดจะลงทุนหุ้นเหล่านี้ที่ p/e 25-30 เท่าก็คงจะต้องใช้ความระมัดระวังเพิ่มขึ้นครับเพราะแทบไม่มีหุ้นตัวไหนที่จะ โตได้ 20-30% ต่อปีได้ตลอดไปครับ

10.ในมุมกลับกัน model dcf ที่ว่าถ้ามีลูกหนี้การค้าน้อยจะทำให้มีกระแสเงินสดดีเมื่อเทียบกับบริษัทที่ มีลูกหนี้การค้าเยอะๆซึ่งจะส่งผลให้ fcf สูงและ pe สูง แต่อีกมุมนึงถ้าบริษัทอยากที่จะเติบโตเร็วในแง่ของยอดขายและกำไรการที่ยอมมี ลูกหนี้การค้าเพิ่มขึ้นบ้างคงจะทำให้บริษัทเติบโตได้ง่ายกว่า การเข็มงวดกับการเพิ่มขึ้นของลูกหนี้การค้ามากเกินไป เรื่องลูกหนี้การค้า่ถ้าในภาวะที่เศรษฐกิจดีโอกาศที่จะมีหนี้สูญมากๆคงจะ น้อย ดังนั้นหุ้นที่ยอมมีลูกหนี้เยอะหน่อยแต่ยอดขายโตได้เร็วกำไรโตเร็วหุ้นคงมี โอกาศขึ้นในเร็วกว่าหุ้นที่ conservative เรื่องลูกหนี้มากเกินไป

ผมเลยมองว่าถ้าดูจาก model dcf ลูกหนี้เยอะเป็นสิ่งที่จะกดให้ fcf ต่ำ
แต่ ในแง่ของนักลงทุนส่วนใหญ่ที่ชอบเห็นกำไรโตเร็วๆ การที่มีลูกหนี้การค้ามากขึ้นเท่ากับยอดขายหรือโตกว่ายอดขายเล็กน้อยราคา หุ้นน่าจะขึ้นได้เร็วกว่าหรือไม่ในาภวะที่เศรษฐกิจไม่แย่และหนี้ไม่กลายเป็น หนี้เสีย
หรือพูดแบบนี้ได้ไหม ถ้าเศรษฐกิจไม่แย่–>เก็บหนี้ได้–>กำไรโตเร็ว–>หุ้นขึ้นเยอะ
เศรษฐกิจไม่แย่–>หนี้สูญ–>กำไรหดหาย–>หุ้นลงเยอะ

สรุป คือในภาวะที่เรามองว่าไม่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจหุ้นที่มีลูกหนี้เยอะก็สามารถ เป็นการลงทุนที่ upside เยอะได้เมื่อเทียบกับ downside และตลาดอาจจะให้ pe สูงด้วยถ้าหุ้นนั้น high growth

– ธุรกิจที่ขยายตัวโดยที่มีลูกหนี้การค้าเยอะหรือมีระยะเวลาเก็บหนี้นาน เมื่อขายถึงจุดหนึ่งจะต้องใช้ working cap เพิ่มเรื่อยๆ ซึ่งจะนำมาซึ่ง D/E ที่สูงขึ้น ปันผลลดลงและอาจจะเพิ่มทุน แต่ปัญหานี้จะลดลงไปมากหากอีกขาหนึ่งคือบริษัทก็สามารถมีระยะเวลาการจ่าย เงินให้กับ supplier ที่นานตามไปด้วย ซึ่งก็จะ match กันพอดี แต่ตัวที่ระยะเวลาการเก็บเงินจากลูกหนี้นานๆ แต่ต้องจ่าย supplier เร็วอย่างนี้ก็จะลำบากครับ นอกจากนี้การมีลูกหนี้การค้ามากๆ เมื่อเทียบกับสินทรัพย์ในงบดุลหรือเทียบกับกำไรก็จะเสี่ยงมากหากเกิดวิกฤติ แบบปี 40 ครับเพราะจะเกิดหนี้เสียจำนวนมาก และปกติลูกหนี้การค้าที่เพิ่มขึ้นมักจะถูก finance ด้วยเงินกู้ระยะสั้น bank O/D ซึ่งในช่วงวิกฤติดอกเบี้ยมักจะสูงขึ้นมากจึงทำให้ต้นทุนการมีลูกหนี้การค้า มากๆ นั้นยิ่งสูงขึ้นไปอีกครับ

11.กรณีของ advanc ที่สมัยก่อนนานมากแล้วเคยมี pe 30-40 เท่าแต่ยอดใช้โทรศัพท์ในประเทศไทยน้อยมาก พอคนหันมาใช้โทรศัพท์กันเยอะขึ้นก็ทำให้หุ้น advanc ขึ้นมาเยอะมากๆแม้ว่า pe จะแพงมากแล้วก็ตาม จนถึงจุดนึงหุ้น advanc กำไรก็แทบไม่โตอีกเลย ประเด็นคือหลังจากที่กำไรแทบไม่โตตลาดควรจะให้ pe ของ advanc ที่เท่าไหร่นั้นคงขึ้นอยู่กับ

payout ratio เนื่องจากว่ามันเป็นตัวการันตีผลตอบแทนให้กับนักลงทุนถ้าตลาดให้ pe 15 ปันผลต่อปีก็ 6.6% ผมคิดว่าถ้า advanc ไม่มีปันผลแบบนี้หนุนเอาไว้ สำหรับหุ้นที่ไม่โตตลาดคงให้ pe ไม่ถึง 10 เท่า

ที่นี้คำถามต่อมาก็ คือ หุ้นเช่น cpall bgh ที่ถือว่าเป็นหุ้นเติบโตที่ได้ปันผลไม่ค่อยเยอะ เช่นได้ปันผลน้อยเลยเมื่อเทียบกับหุ้น advanc แต่ตลาดให้ pe สูงกว่าเมื่อถึงจุดที่ cpall bgh หยุดโต ถ้าสองตัวนี้ไม่หันมา pay out ระดับ 100% เหมือน advanc คงจะมีโอกาศได้ pe ต่ำกว่า 10 เท่าไม่ทราบว่ามีความเห็นอย่างไรครับ

– ก็เป็นไปได้ครับ แต่อย่างไรก็ตาม หุ้นที่จะโตได้มาจาก 2 ทางครับ คือ volume growth กับ price growth ซึ่ง advanc ในช่วงอิ่มตัวมากๆ ก็อาจจะไม่สามารถโตได้ทั้ง 2 ทาง ทำให้กำไรอาจจะคงที่ไปเลยเหมือนหุ้นพวก utility เช่น โรงไฟฟ้าทำให้มีสภาพคล้ายๆ bond ในขณะที่หุ้นอย่าง cpall หรือ bgh ในจุดที่ไม่ขยายหรือ volume ไม่โตแล้วแต่ก็ยังสามารถปรับราคาขายหรือค่าบริการได้ในอัตราเดียวกับเงิน เฟ้อหรือมากกว่า จึงทำให้อาจจะสามารถโตเท่ากับหรือมากกว่า inflation ได้ ซึ่งก็น่าจะเป็นเหตุผลที่ในช่วงอิ่มตัวของ cpall หรือ bgh ก็ยังอาจจะมีการเติบโตของกำไรมากกว่าครับ โดยเฉพาะค่ารักษาพยาบาลนั้นมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นมากกว่าเงินเฟ้อ 1-2% ต่อปีครับ โดยเราจะเห็นได้จากโรงพยาบาลบางแห่งที่ไม่มีการขยายเลยแต่ก็ยังมีการเพิ่ม ขึ้นของกำไรได้จากการปรับราคาค่ารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้น อย่างเช่นกรณีของ NTV เป็นต้นครับ

Comments (11)

คนเราควรจำกัดขอบเขตความเสียหาย

ชีวิตของคนเรามีความเสี่ยงมากมาย เราต้องรู้จักจำกัดมันเอาไว้ ผมจะลองยกตัวอย่างจากชีวิตจริงของผม

ผมไปเล่นฟิตเนสแถวบ้านอยู่แห่งนึง เรื่องมีอยู่ว่าเทรนเนอร์ที่นั้นก็คิดค่าเทรนกับผม 15000 ต่อ 30 ครั้งหรือตกครั้งละ 500 บาท ซึ่งจริงๆแล้วถ้าผมเทรนเดือนละ 15 ครั้ง ผมก็จะเทรนจบภายในสองเดือน ประเด็นก็คือผมเพิ่งเทรนไปเพียงแค่ 10 ครั้ง อยู่ๆเทรนเนอร์ก็มาบอกว่าเดี่ยวเดือนหน้านี้ทางฟิตเนสจะขึ้นค่า course นะครับ คุณฮง ดังนั้นผมอยากให้คุณฮงสมัครเพิ่มไปอีกเพราะว่าจะได้ถูกลง ผมก็มานั่งคิดว่าบ้าหรือเปล่าทำไมยังเหลืออีกตั้ง 20 ครั้งแล้วผมต้องสมัครไปเพิ่มล่ะ การเอาเงินไปถ่มกับเรื่องในอนาคตเป็นเรื่องบ้าชัดๆ ผมก็บอกปัดไปว่าเอาไว้ course หมดก่อนแล้วค่อยว่ากัน ปรากฏว่าไอ้หมอนี้โทรมาตื้อผม แล้วบอกว่าฮงผมขอร้องล่ะ เดือนนี้ผมต้องการปิดยอดจริงๆผมอยากให้ฮงช่วยผมหน่อยแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวแล้วก็ยื่นเงื่อนไขว่าจะลดราคาค่า course ให้จาก 30 ครั้ง 15000 กลายเป็น 50 ครั้ง 15000 ผมว่ามันยิ่งน่าสงสัยหนักเข้าไปอีกว่านี้คือการเอาเงินจากคนอื่นโดยการที่เขาพูดแบบนี้กับคนอื่นๆที่เป็นลูกค้าทุกๆคนพอลูกค้าทุกคนสมัครพร้อมๆกันแล้วอีกเดือนนึงไอ้หมอนี้ก็ลาออกไปเลยหรือเปล่าทำไมต้องรีบเร่งปิดยอดขนาดนั้น แต่ผมลองมาคิดดูแล้วค่า course ระดับนี้ก็ถือว่าถูกมากแถมถ้าหมอนี้ลาออกไปผมก็เล่นกับเทรนเนอร์คนอื่นในฟิตเนสนี้ได้ ผมเลยบอกไอ้หมอนี้ไปว่าได้ผมจะช่วยคุณแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว แต่ผมบอกไว้ก่อนว่าถ้ามีอีกครั้งผมจะไม่ช่วยคุณแน่นอน เสร็จแล้วผมก็สมัครไปเพิ่มด้วยใจที่คิดว่าผมไม่มีทางสมัครต่อกับมันอีกแน่นอน แล้วผมก็เล่นต่อไปจนถึงครั้งที่ 24 ปรากฏว่าไอ้หมอนี้ถามผมว่าฮงเป็นคนคอเลสเตอรอลสูงใช่ไหม ผมก็ตอบไปว่าใช่ สูงตั้ง 250 เลยทีเดียวแล้วมันก็ชวนผมชกมวย มันบอกว่าการชกมวยจะช่วยการเบรินของหัวใจได้ดีและช่วยลดคอเลสเตอรอลได้ ตอนแรกฟังแล้วก็ดีใจว่าเออ มึงห่วงสุขภาพกูนอกจากห่วงเงินในกระเป๋าตัวเองเป็นด้วยเหรอ ไอ้แสรดดดดด (แรงไปไหมครับแต่ผมรู้สึกแบบนี้จริงๆนะครับ)

หมอนี้ก็ให้ผมลองชกมวย พอชกเสร็จก็บอกว่าเป็นไงดีไหม ผมว่าก็โอเค ปรากฏมันบอกว่าเนี้ยถ้าจะชกมวยต้องสมัครชั่วโมงเพิ่มเพราะว่า course ชกมวยแพงกว่า course เล่นฟิตเนสธรรมดา นั้นหมายความว่าผมต้องควักเงินเพิ่มอีก ผมก็คิดในใจ แสรดดดดด กูว่าแล้วมึงห่วงแต่เงินในกระเป๋าตัวเองคิดไว้แล้วไม่ผิด แล้วมันก็ขอร้องให้ผมเล่น course ชกมวยกับมัน มาถึงตอนนี้ผมได้เรียนรู้แล้วว่า คนพวกนี้ไม่ได้มีใจที่รักลูกค้าเลย พวกเขาเพียงแต่หาวิธีการใหม่ๆมาดูดเงินลูกค้าคนเก่าๆทุกเดือนๆ ให้ได้มากที่สุดเมื่อลูกค้าเก่าๆลง course นานพอแล้ว พวกนี้ก็จะลาออกไปทำแบบนี้กับฟิตเนสอื่นอีกพอผมไม่สมัครไอ้หมอนี้ก็ตื้อผมอีก ผมรู้สึุกฉุนมากว่าเขาจำไม่ได้เหรอว่าผมเคยพูดว่า ผมจะช่วยเขาแค่ครั้งเดียวอย่ามาตื้อผมมากผมไม่ชอบพูดรู้เรื่องรึเปล่าว่ะ หนักขนาดว่าระหว่างมันกำลังอธิบายเรื่องการชกมวยดียังไง ผมเดินกลับบ้านเลยทั้งๆที่มันกำลังพูดอยู่เนี้ยแหละ เพราะผมถือคติว่าเราควรจะให้เกียรติเฉพาะคนที่ให้เกียรติเรา ถามว่าเรื่องพวกนี้เกี่ยวกับการจำกัดความเสี่ยงยังไง

ถ้าเราสมัครชั่วโมงเพิ่มก็เท่ากับว่าเรามีตัวประกันเพิ่ม จำนวนชั่วโมงที่เยอะมากๆที่ยังเหลือนั้นคือตัวประกันว่าถ้าคุณปฏิเสธคำขอของเขาการเทรนของคุณหลังจากนั้นจะเป็นอย่างไร เขาจะช่วย save ให้คุณมากพอไหม เขาจะกั๊กคุณไหม ซึ่งมันก็กลายเป็นคุณยิ่งจ่ายเพิ่มก็ยิ่งมีตัวประกันมากขึ้นไปเรื่อยๆเป็นวงจรอุบาทว์ หมอนี้เคยบอกผมว่าลูกค้าเก่าของมันที่ c fitness มีชั่วโมงค้างกับมันหลายร้อยชั่วโมง ผมถามต่อไปว่าแล้วทำไมออกจาก c fitness มันบอกว่าไม่มีลูกค้าใหม่ๆ ลูกค้าเก่าๆไม่ต่อแล้ว ผมเลยเริ่มจับไต่ได้ว่าเขาเป็นคนแบบไหน ข้อแนะนำของผมคือ เมื่อคุณต้องรู้ตัวว่าสิ่งที่คุณเสียไปแล้วคืออะไร เช่นจากในเรื่องที่เล่ามาคือจำนวนชั่วโมงที่ยังเหลืออยู่ แต่นั้นเป็นต้นทุนจมไปแล้ว มันจบไปแล้วคุณต้องคิดแต่ว่าจะเล่นยังไงให้หมดกับชั่วโมงที่เหลือ ซึ่งถ้าจะจ่ายเพิ่มต้องทำหลังจากที่ชั่วโมงที่มีอยู่ใกล้หมดจริงๆแล้วทั้งนั้น คุณต้องกล้าบอกปัดทุกคำขอร้องทุกข้ออ้าง ไม่ว่าข้ออ้างนั้นจะเป็น ฮงครับ ผมเสียบอลถ้าผมไม่มีเงินไปจ่ายเขา เขาคงตื้บผม (อ้าวแล้วเล่นทำไมถ้าไม่มีเงินจ่าย แล้วได้เอาเงินไปแ๊ด๊กเหล้าเล่นเสียให้ผมจ่ายเหรอบ้ารึเปล่า) การที่คุณบอกปัดเขาแล้วเล่นให้จำนวนชั่วโมงเหลือน้อยลงเรื่อยๆนั้นจะทำให้อำนาจต่อรองของคุณสูงขึ้นเพราะเขาอยากให้คุณต่อสมาชิก เมื่อจบลงเขาจะต้องทำดีกับคุณต่อไป แต่ในทางกลับกันถ้าคุณสมัครจนชั่วโมงเป็นร้อยๆ เขาจะเริ่มสนใจคุณน้อยลงเพราะเริ่มไม่มีเหตุผลให้คุณต้องจ่ายอีก และจะเริ่มโฟกัสไปที่คนที่มีโอกาศในการจ่ายตังค์ได้มากกว่า

กลับมาที่การเล่นหุ้น เวลาที่คุณซื้อหุ้นไปตัวนึงแล้วหุ้นตัวนั้นเริ่มทำตัวไม่ดีราคาไหลลงๆไม่ขึ้นเลย นั้นคือสิ่งทีึ่คุณเสียไปแล้วและไม่สามารถกู้กลับมาได้ การที่คุณเลือกซื้อหุ้นตัวนั้นเพิ่มเป็นเหมือนกับคุณเสียตัวประกันเพิ่มขึ้นไปอีก คำกล่าวของนักเก็งกำไรคือถ้าหุ้นดีก็ต้องขึ้น ถ้าหุ้นไม่ขึ้นก็คือหุ้นเลว ลองคิดดูถ้าคุณซื้อหุ้นไปตัวนึงแล้วหุ้นก็ลงไปแล้วก็ไม่ีขึ้นมาเลยนานมากๆ หุ้นตัวอื่นๆในตลาดขึ้นกันหมดแล้ว แล้วคุณก็บอกว่าหุ้นของคุณดีนะ มันถูกมันควรจะมีราคาเท่าไหร่ๆกันแน่ แต่หุ้นของคนอื่นที่ขึ้นๆกันอะหุ้นเลวไม่รู้เหรอ กำไรเป็นแบบ one-time gain นะ ไม่รู้เหรอเจ้าของสีเทานะ ไม่รู้เหรอปกติตลาดให้ pe ต่ำนะ อะไรต่างๆเหล่านี้ แต่เราเข้าตลาดหุ้นเพื่อทำเงินไม่ใช่เพื่อมาบอกกันว่าหุ้นตัวไหนดีหรือเลว คำว่าดีหรือเลวเอาออกไปเลย หุ้นขึ้นคือดี ลงคือเลว หุ้นบางตัวที่คุณว่ากันว่ามันปั่นจริงๆแล้วมีเยอะมากๆที่มันไม่ได้ปั่นเลย แต่เป็นเพราะคุณไม่รู้จักมันดีพอว่ามันขึ้นเพราะอะไรต่างหาก พอมันขึ้นเร็วๆแล้วคุณดูไม่ออกคุณก็บอกว่าปั่น ดังนั้น ในตลาดหุ้นคุณสามารถเข้าข้างตัวเองได้ตลอดเวลา คุณสามารถเลือกหุ้นผิดได้ตลอดเวลา ดังนั้นถ้าหุ้นตัวไหนทำตัวไม่ดีก็อย่าซื้อเพิ่มจะดีกว่าเพราะว่ามันจะทำให้ชีวิตคุณมาทางเลือกมากกว่า การเอาเงินไปถ่มเพิ่มเรื่อยๆถ้าสุดท้ายคุณคิดผิดกว่าคุณจะรู้ตัวก็สายเกินไปแล้ว ไม่ต่างจากการที่สมัครชั่วโมงฟิตเนสกับเขาเป็นร้อยๆแล้วมารู้ตัวอีกตัวเทรนเนอร์ก็ลาออกไปแล้ว พอจะไปเล่นกับเทรนเนอร์คนอื่นก็ต้องมาปรับเวลาให้ตรงกัน และเขาก็ไม่ควรเทรนคุณมาก่อน ปัญหามากมายนักแล

Comments (15)

vng case(หุ้นที่เคยทำเงินให้ปีก่อน)

ปีที่แล้วก่อนได้เจอกับ ptl ผมได้กำไรจากตัวนี้เยอะสุดประมาณเกือบๆ 70% ใน 3 เดือนเศษ ตอนนั้นผมคิดอะไร ดูยังไง ผมจะลองแชร์ความเห็นได้ฟังครับ

vng หรือ วนชัยกรุ๊ป ขายเฟอร์นิเจอร์ไม้ เป็นไม้ประเภท pb mdf อะไรทำนองนั้น

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าตอนนั้นเล่นเพราะคิดว่ามันจะ turn around จากขาดทุนมาเป็นกำไร ถ้าลองดูจากรูปจะเห็นว่าบริษัทมีขาดทุนอยู่ 3 ไตรมาส ซึ่งจริงๆแล้วไตรมาสที่สามของปี 2552 บริษัทก็กลับมากำไรแล้วแต่ว่ากำไรยังไม่เยอะมาก จุดที่ผมซื้อในตอนนั้นจริงๆคือ หลังจากงบ q4/52 ออกมาซึ่งกำไรมันเยอะมากๆๆๆๆ คือ 347 หรือประมาณ  0.26 ซึ่งวันที่งบออกราคาประมาณแถวๆ 2.5 แล้วก็บวกวันเดียวเกือบ 20% ขึ้นมาเกือบๆ 3 บาท ผมก็มาซื้อเอาช่วง 3 บาท ตอนนั้นผมคิดแบบนี้

-งบไตรมาส 4 2552 มีการ turnaround ชัดเจน ยอดขายไตรมาสสุดท้ายปรับตัวขึ้น 39 % qoq จากการเพิ่มกำลังการผลิตใหม่ไม้ mdf และ gross margin เพิ่มขึ้นสูงจากการปรับขึ้นของ pb mdf และการใช้ capacity เพิ่ม
-ถ้านับจากกำไรไตรมาส 4 ที่ทำได้ 0.26 (งวด 9 เดือน eps ติดลบ 0.17) คูณ 4 จะได้ eps มากกว่า 1 บาทซึ่งราคาหุ้นอยู่แค่ 3 บาท pe จะถูกมากๆหรือแค่ 3 เท่าโดยที่สมัยก่อนตอน eps 0.55 บริษัทเคยซื้อขายกันที่ 4.5-7 บาทกว่า
-มีราคา pb mdf ให้ติดตามทำให้ถ้ากำไรไม่เป็นตามคาดก็สามารถหนีออกมาได้ทัน
-ราคาหุ้นมีการเปิดกระโดด(gap)ทะลุแนวต้านแถว 2.5 และปิดบวก 19% ในวันประกาศงบซึ่งทำให้มองว่าเป็นจุดเปลี่ยนของราคาพอซื้อเสร็จไม่นานราคาก็ขึ้นไปที่ 5 บาท ตอนแรกผมคิดว่าถ้ากำไรประมาณ 1200 ล้าน ผมกะจะขายแถวๆ 7.5-8 บาทแต่กำไรของ q1 ในตอนนั้นมัน drop ค่อนข้างมากถ้าเทียบกับ q4 ผมเลยคิดว่าแถวๆ 5 บาทก็ขายไปก่อนดีกว่าเอาเงินไปซื้อตัวอื่น สุดท้ายหุ้นขึ้นไปถึง 7 บาทจริงๆ แต่ผมก็ไม่เสียใจเพราะไปซื้อตัวอื่นแล้วกำไรดีกว่าเยอะ

สุดท้ายนี้ถึงผู้อ่านบล็อก ตัวอย่าง case study ที่ยกมาในบล็อกนี้จะไม่มีหุ้น 10 เด้งเลยเนื่องจากเนื้อหาในส่วน case study เชิงลึกของหุ้น 10 เด้งผมจะนำไปเล่าในงานสัมนานะครับ

Comments (10)

การเล่นหุ้น growth stock

หัวข้อก่อนพูดถึงหุ้น pe ถูกที่ถูกยังไงก็ถูกยั้งงั้น คราวนี้มาพูดถึงหุ้นที่ pe แพงยังไงก็แพงอย่างงั้นบ้าง

ในตลาดจะมีหุ้นอยู่ 3 กลุ่มที่จะ pe สูงตลอดเวลาแทบจะไม่เคยมี pe ถูกเลยก็คือ ค้าปลีก โรงพยาบาล ประกันชีวิต

ผมลองหาเหตุผลว่าทำไมหุ้น 3 กลุ่มนี้ถึงมี pe สูง ก็ได้เหตุผลประมาณนี้ หุ้นโรงพยาบาลนั้นเป็นหุ้น megatrend ที่โลกเรากำลังเข้าสู่ยุค aging ก็คือประชากรที่มีวัยสูงอายุจะมีสัดส่วนมากขึ้น ทำให้แนวโน้มในระยะยาวของหุ้นโรงพยาบาลนั้นจะมีรายได้และกำไรสูงขึ้นเรื่อยๆ pe ของหุ้นโรงพยาบาลในต่างประเทศก็ไม่ต่างจากของไทย แพงๆกันทั้งนั้น ในประเทศไทยนั้น health care cost/gdp ยังค่อนข้างต่ำ ถ้าเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว ยังค่อนข้างต่ำทำให้มีโอกาศที่จะเติบโตสูงขึ้นได้อีก ธุรกิจโรงพยาบาลเองเป็นธุรกิจประเภท service ไม่ใช่รับจ้างผลิตดังนั้นการเติบโตจะไม่ต้องใช้เงินลงทุนเยอะทำให้มี pe ที่สูงได้

 

หุ้นค้าปลีกเองก็เป็นหุ้น mega trend เพราะคนยุคใหม่เข้าโชว์ห่วยน้อยลงไปเรื่อยๆ และ หุ้นค้าปลีกนั้นมีกระแสเงินสดที่สูงมากๆ การตัดค่าเสื่อมของบางบริษัทนั้นเมื่อตัดจบแล้ว สินทรัพย์ยังใช้ต่อไปอีก ส่วนค้าปลีกที่เช่าพื้นที่เปิดสาขาก็ใช้เงินลงทุนน้อย เปิดสาขาใหม่ขายของแล้วก็ไ้ด้เงินสดทันที แต่จ่ายเงิน supplier ทีหลัง และยิ่งมีสาขามากอำนาจในการต่อรองก็ยิ่งสูงมากขึ้นเรื่อยๆ

 

หุ้นประกันชีวิตนั้น เป็นธุรกิจที่แทบจะจับเสือมือเปล่า ขายกระดาษให้ลูกค้าได้เงินต่อเนื่อง หลังๆให้คนที่ธนาคารขายเหมือนมีลูกค้ามาหาถึงที่ทำให้ยิ่งโตเร็วขึ้นไปอีก ธุรกิจแบบนี้สามารถมีรายได้และกำไรโตขึ้นได้มากๆโดยที่แทบไม่ต้องลงทุนอะไรเลย เงินที่ได้เข้ามาก็เป็นเงินสด จึงไม่แปลกที่หุ้นแบบนี้จะมี pe สูง

 

หุ้นพวกนี้ pe สูงเพราะตลาดมองถึงการเติบโตในอนาคตที่มีต่อเนื่องหลายปี และ เป็นหุ้นที่มีโครงสร้างธุรกิจที่มีสภาพคล่องทางการเงินสูง

ประเด็นต่อมาคือการที่ pe สูงผมคิดว่าหุ้นพวกนี้ถึงจุดนึงก็อาจจะไม่น่าลงทุน เช่น growth ของบริษัทเฉลี่ยใน 3 ปีข้างหน้ามากกว่า pe เช่นหุ้น a มี pe 20 เท่าแต่ growth 3 ปีข้างหน้าเฉลี่ย 15% แบบนี้การถือหุ้นพวกนี้ต่อไปเหมือนเราจ่ายราคาที่แพงเมื่อเทียบกับการเติบโตแล้ว

แต่ถ้าหุ้น pe 20 แล้วคิดว่าอีกสามปีข้างหน้าโตเฉลี่ย 25% แบบนี้ถือว่าน่าสนใจกว่าตัวแรกเยอะ หุ้นกลุ่ม pe สูงต่อเนื่อง การที่เราจะรอซื้อที่ pe ถูกคงเป็นไปได้ยากมาก นอกจากจะเกิด crash แต่พอเกิด crash เราจะเจอหุ้นที่ถูกแบบโคตร super โคตรๆ ถูก pe 3-4 เท่าแต่ธุรกิจดีใช้ได้ซึ่งถึงตอนนั้นเราไม่ซื้อหุ้น พวก ค้าปลีก โรงพยาบาล ประกันชีวิตอยู่ดี ดังนั้นหันมามอง growth เฉลี่ยหลายปีข้างหน้ากันดีกว่าครับสำหรับหุ้น pe แพงๆ ว่าตัวไหนบ้างที่มีโอกาศเติบโตเยอะต่อเนื่อง

 

Comments (9)

sena case (หุ้นที่ทำให้ผมขาดทุน)

ปีที่แล้วผมเคยเล่นหุ้นตัวนึงไป 50% ของพอร์ตในช่วงสั้นๆ หุ้นตัวนั้นคือ sena ตอนนั้นผมคิดหลายตลบว่าหุ้นตัวนี้มันถูกมาก เพราะตอนที่ผมซื้อก็ดูแล้วกำไรน่าจะโตได้ซัก 15-20% จาก eps 0.50 น่าจะกลายเป็น 0.57-0.6 ราคาที่ผมเคยซื้อตรง 2.3 pe ก็เพียงแค่ 4 เท่า ดูๆไปแล้วเหมือนกับว่ายังไงก็คงไม่แพ้

ปรากฏว่าถือไปถือมาหุ้นไม่ขึ้นซักทีโดนแช่เงินอยู่เกือบหนึ่งเดือนได้ เลยขายออกมา  เพราะตอนนั้นเอาเงินไปซื้อหุ้นตัวอื่นแทน

วันนี้ผมกลับมานั่งทบทวนสิ่งที่เคยเกิดขึ้น สิ่งที่ผมคิดก็คือว่า หุ้น pe ต่ำเพียงแค่ 3-4 เท่า ถ้ากำไรไม่หายไป downside น่าจะต่ำ แต่ประเด็นก็คือว่า set ให้ pe ของหุ้นอสังหริมทรัพย์ขนาดเล็กแค่ 4-5 เท่าอยู่แล้ว ดังนั้นการที่ผมซื้อ sena ตอน pe 4 ถ้าดูจาก record เดิมๆหรือเทียบกับบริษัท size ใกล้เคียงกัน หุ้นก็ดูเหมือนจะไม่ถูก อาจจะมองเป็นที่พักเงินได้เฉยๆเพราะได้ปันผลสูงมากระดับ 10% แต่หุ้นก็ไม่ขึ้น แม้ sena จะมี gross margin ที่สูงมากแต่เพิ่งเข้าตลาดไม่นานคนก็ไม่แน่ใจว่า too good too be true หรือไม่

ถ้ากลับไปดู sc case ที่ผมเคยเขียนเอาไว้ จะเห็นว่าก็คล้ายๆกันก็คือหุ้น pe ต่ำ เล่นกันต่ำ bv และมีปันผลเยอะ แต่สิ่งที่ sc มีก็คือโอกาศปลดล็อคความถูกจากการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง แต่ sena ไม่มีอะไรที่คนจะมา buy idea ว่าเฮ้ยถึงวันที่ sena ควรจะเทรด pe สูงๆแล้วนะเว้ย อะไรทำนองนั้น และต่อให้เป็นบริษัทอสังห ขนาดเล็กแต่ sc ก็มีกำไรจากค่าเช่าคิดเป็น % total ของกำไรทั้งหมดสูงกว่า sena เยอะดังนั้นถ้า pe เท่ากัน คนคงจะซื้อ sc มากกว่า

ถ้าคนถือ sena มาเป็นเวลาหนึ่งปีผลตอบแทนน่าจะแพ้ตลาดด้วยซ้ำ ไม่น่าเชื่อว่าหุ้น pe 4 ปันผลเยอะ ต่ำบุคจะเป็นแบบนี้ไปได้ แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว หุ้น pe ต่ำเป็นเรื่องที่คนชอบ ผมก็ชอบ แต่อย่าเจอแบบ sena ก็แล้วกันต่ำยังไงก็ต่ำอย่างนั้น โงหัวไม่ขึ้น หุ้นอสังหริมทรัพย์ขนาดกลางถึงใหญ่บางตัวยังเทรด pe ไม่เกิน 7 เท่าเลยด้วยซ้ำ มาลองคิดดูอีกที ตอนนั้นตลาดอาจจะมองว่าดอกเบี้ยจะต้องเป็นขาขึ้นและทำให้หุ้นใน sector นี้ไม่น่าจะมีแนวโน้มกำไรที่ดีมาก ก็น่าจะมีส่วนทำให้หุ้นที่ถูกก็ถูกกันต่อไป

Comments (17)

สอนเรื่องงบการเิงินสำหรับมือใหม่(เต็มแล้วไม่ต้องลงชื่อแล้วนะที่นั่งไม่พอ)

พอดีผมจะมีการสอนเรื่องงบให้เพื่อนๆของผมที่สนใจเล่นหุ้นอยู่แล้ว ผมเลยคิดว่าไหนๆเสียเวลาแล้วก็พูดให้มีคนได้ประโยชน์หลายๆคนไปเลยดีกว่า โดยเนื้อหาที่สอนก็จะประมาณว่า

ดูอย่างไรว่าบริษัทไหนกำไรมีประสิทธิภาพ

บริษัทแบบไหนมีความเสี่ยงที่จะเพิ่มทุน

บริษัทแบบไหนมีกระแสเงินสดที่ดีและสะท้อนความสามารถในการบริหาร

และอื่นๆอีกเล็กน้อย

หัวข้อนี้สำหรับคนที่ไม่มีพื้นในการดูงบการเงินเลยหรือมีน้อยนะครับ ถ้าใครดูงบเป็นแล้วมาไม่น่าจะได้อะไรมากนะครับ

ผมสอนแค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้นนะครับ โดยผมได้จองห้องที่ true coffee siamcenter เอาไว้อยู่ชั้น 4 แต่ว่าห้องที่ว่านี้เป็นมีที่นั่งจำกัดถ้าคนสนใจมาจะต้องลงชื่อผ่านบล็อกนี้และโอนเิงิน 200 บาทมาเพื่อเป็นตัวประกันว่าท่านจะไม่แค่มาจองชื่อแบบส่งๆแล้วก็ไม่มา 200 บาทนี้เป็นค่าเช่าสถานที่ ซึ่งถือว่าท่านก็ช่วยผมออกค่าใช้จ่ายไปก็แล้วกันครับ

ห้องผมจองเอาไว้ 2 ชั่วโมงคือ 10.00-12.00 วันอาทิตย์ที่ 10 เมษายนนี้

หลังจากพูดจบหนึ่งชั่วโมงใครอยากถามตอบหรือพูดคุยอะไรกันก็ได้เต็มที่เพราะจะมีเพื่อนของผมที่มีประสบการณ์ลงทุนค่อนข้างสูงไปร่วมงานด้วย

รับ 22 คนนะครับ เพราะที่นั่งมีจำกัด ใครที่ไม่โอนเงินมาแล้วจะมั่วเข้ามาวันนั้นผมไม่ให้เข้านะครับ ไม่งั้นที่นั่งไม่พอครับ และเดือดร้อนคนอื่นไปด้วยครับ

คนที่สนใจต้องมาลงชื่อในบล็อกนี้ก่อนแล้วดูว่าลำดับการลงชื่อทัน 22 คนแรกไหม ถ้าลงชื่อทันแล้วก็ให้ให้เงินมาที่ ธนาคารไทยพาณิชย์

บัญชี 156-209-5270

ชื่อ สถาพร งามเรืองพงศ์

สาขาเซ็นทรัลพระรามสอง

ออมทรัพย์

กรุณาโอนมาเปิดเศษสตางค์เช่น 200.40 -200.97 เป็นต้นเพื่อง่ายต่อการเช็กยอดนะครับ

โอนเสร็จแล้วส่งเมล์มา confirm ที่ honghardcore@hotmail.com

ถ้าโอนออนไลน์ก็แนบรูปมาด้วยทางเมล์แล้วกันครับ

Comments (178)

pure technical topic

พอดีมีคนที่เก่งเทคนิคมาเยี่ยมเว็บ(mangmaoclub)เลยเขียนหัวข้อนี้ขึ้นมาถามตอบ price pattern คุยเรื่องกราฟแบบมีรูปครั้งแรกใน blog ว่าแล้วก็เริ่มเลยดีกว่า

anti-gravity pattern นี้ขึ้นแรงแล้วพักแบบออกข้างไม่ย่อแล้วไปต่อ การพักตัวแบบที่หุ้นไม่แกร่งน่าจะเหวี่ยงลงมาค่อนข้างเยอะไม่น่าออกข้างแล้วค่อยทำนิวไฮ พี่เม่าคิดเห็นว่าอย่างไร

ที่เราเคยคุยกันเรื่อง การทะลุมีแบบแน่นกับไม่แน่น ถ้าขึ้นแล้วซับแรงขายเรื่อยๆแล้วค่อยๆขึ้นต่อน่าจะดีกว่าประเภทขึ้นแบบนี้ไหมครับ

กราฟขึ้นแล้วสลับ doji แล้วขึ้นต่อได้แบบนี้ดูแล้วดีไหมครับถ้าเทียบกับไก่เล็กล่ะครับตัวไหนสวยกว่าครับ

รบกวนพี่เม่าช่วยชี้แนะและให้ความเห็นเพิ่มเติมด้วยครับ ขอบคุณครับ

อันนี้เป็นภาพที่พี่ mangmaoclub ฝากมาเพื่อจะได้คุยกันได้นะครับ

Comments (34)

sc case(ผมไม่มีหุ้นนะ)

case พวกนี้เป็นของราคาที่ขึ้นมาแล้วและผมก็ไม่ได้มีหุ้นนะครับ อ่านเอาหลักการนะครับ อย่าอ่านเอาหุ้นเด็ด ไม่มีให้นะครับ หุ้นเด็ด เล่าตัวที่หุ้นขึ้นมาแล้วแบบนี้คนจะได้ไม่ไปซื้อตามนะครับ แถมออกตัวแล้วด้วยว่าผมไม่มีหุ้นแค่วิเคราะห์อดีตนะครับ

sc case เป็นกรณีของบริษัทที่ราคาถูกและมีตัวเร่ง เรื่องราวของ sc นั้นมีดังนี้

sc ถือเป็นหุ้นการเมืองตัวนึง การเมืองสีอะไร การเมืองยังไง คงไม่ต้องพูดนะครับ 5555 ใครๆก็คงรู้

sc เป็นบริษัทที่มีรายได้จากค่าเช่าที่ถือว่าค่อนข้างสูง ตึก shin 1-3 และ tcc cc มีคนเช่าเกือบเต็มตลอดและทำให้บริษัทมีรายได้แบบ stable income ที่ค่อนข้างสูงเช่นในปีล่าสุดกำไรจากส่วนค่าเช่าก็สูงถึง 1.5-1.6 บาทต่อหุ้น

ถ้าเราดูยอดจองของบริษัท sc ย้อนหลังปี 2006 ยอด presale อยู่ที่ 1000 กว่าล้านแต่ของปี 2010 ขึ้นมาระดับ 5000 ล้าน

ภาพนี้ credit by reiter นะครับ ถ้าเราลองดูดีๆปี 2008 บริษัทยังโตได้เลยเพราะจับตลาดบนมากๆ คือรวยจนไม่สนใจว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร

ตอนที่ราคา sc อยู่ 17 บาทเพื่อนผมหมอ reiter แนะนำให้ลองดูเนื่องจากหุ้นถูกมาก sc นั้นมีกำไรจากค่าเช่าสูงและยังมียอดขายโตต่อเนื่องแต่ราคาหุ้นกลับต่ำกว่า bv สาเหตุนั้นน่าจะเพราะถูก discount จากเรื่องการเมือง งบของ sc นั้น eps โตตลอดแต่หุ้นยังเทรดไม่ไปไหน ส่วนนึงน่าจะเป็นเรื่องการเมือง eps โตจากไม่ถึงสองบาทเป็นสามบาทกว่า แต่ราคายังต่ำบุคโดยที่งบการเงินก็ค่อนข้างแข็งแกร่ง

ที่นี้พอ sc ประกาศงบออกมากำไรระดับ 3.59 ถ้าปันผล 1.43 ที่ราคา 18 บาทก็ถือว่ามีปันผลสูงมาก ตัวปลดล็อกก็คือการเลือกตั้งซึ่งถ้ามีการเปลี่ยนขั้วน่าจะทำให้ sc unlock ความถูกออกมาได้ แต่ในกรณีที่เลือกตั้งแล้วไม่เปลี่ยนขั้วปันผลระดับ 1.4 ที่ราคาแถวๆ 17 บาทที่มีคนมาแนะนำผมก็ถือว่าไม่สะท้อนการเติบโตของกำไร จริงๆแล้วหลายคนคาดกำไร sc ออกมาก่อนที่งบจะประกาศเสียอีก ซึ่งต้นทุนพวกเขาคือ 17 บาทลงไป

กรณีนี้จะคล้ายๆกับ ktc ที่เขียนก่อนหน้าความคาดหวังของคนค่อนข้างต่ำ วัดได้จากกำไรที่เติบโตต่อเนื่องมีรายได้ที่มั่นคงค่อนข้างสูงแต่หุ้นราคาไม่ไปไหนแถมเล่นต่ำ bv สุดท้ายพอมีกระแสเลือกตั้ง sc ก็วิ่งหน้าตั้งอย่างที่เห็น

นักลงทุนในหุ้นที่ดีควรจะรู้ว่าราคาหุ้นตรงไหน downside ต่ำเทียบกับ upside แต่นักลงทุนที่เทพกว่าจะรู้ว่าเมื่อไหร่น่าจะมีจังหวะมาปลดล็อคความถูกของหุ้นด้วย กำไรจากค่าเช่าของ sc นั้นควรมี pe ที่ค่อนข้างสูงกว่า eps ในส่วนของ developer แน่นอน ไม่ช่วง 17 บาทนั้นไม่ว่าจะมองจาก sum-of-the-part pe หรือ pbv หรือ dividend นักลงทุนแทบไม่มี downside ทางการลงทุนเลย

คนที่ได้กำไรจาก sc ในเวลาไม่นานคือคนที่รู้ว่า value หุ้นควรอยู่ตรงไหน ทำไมหุ้นถึงเล่นต่ำกว่า value และอะไรที่น่าจะทำให้สะท้อน value มากขึ้นครับ ถ้ามีหลายอย่างประกอบกันก็จะกำไรได้เยอะในเวลาไม่นานครับ

Comments (10)

ktc case

นับวันหุ้นถูกๆก็ยิ่งหายากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผมเริ่มคิดว่าหุ้นที่จะสามารถให้ upside ได้สูงๆน่าจะเป็นหุ้นใหม่ๆ ที่คนยังไม่พูดถึง หุ้นตัวนั้นคือ ktc จริงๆบริษัทนี้ผมก็ไม่ค่อยได้ติดตามอะไรเกี่ยวกับมันมากหรอก เพราะว่าผมไม่รู้จะคาดการณ์กำไรของเขายังไง หุ้นตัวนี้ขาดทุนหลายไตรมาสและมีกำไรแบบที่เหมือนกับแทบจะไม่มีกำไรก็คือน้อยมากๆ ข้อดีของหุ้นตัวนี้ก่อนหน้านี้เพียงอย่างเดียวที่คนเล่นพืนฐานพอจะเห็นก็คือ ต่ำ bv ค่อนข้างเยอะ ผมเองติดตามอยู่ห่างๆเพราะถือคติไม่ชอบของถูกที่ไม่มีตัวเร่งจนกระทั่งงบไตรมาส 4/53 ออกมาบริษัทมีกำไรที่ถือว่าโดดเด่นมากเทียบกับกำไรย้อนหลังในรอบหลายปี พอหุ้นขึ้นแรงผมก็ซื้อตามน้ำไปที่ 15-15.4 ไปส่วนนึง

 

ตอนผมซื้อผมก็ไม่ได้คิดอะไรมากเพราะว่าผมไม่ได้ดูรายละเอียดของตัวบริษัทลึกมากและขี้เกียจที่จะดูเพราะคิดว่าหุ้นลักษณะนี้ประเมิณกำไรยากเกินไป ประมาณว่า too hard too estimate สิ่งที่ผมคิดง่ายๆก็คือว่า บริษัทในตลาดในภาวะที่ set เป็น 1000 จุดหุ้นต่ำ bv ถือว่าเป็นหุ้นถูก สาเหตุที่ต่ำ bv ก็คิดได้ง่ายๆเลยว่าบริษัทไม่มีกำไร บริษัทลักษณะนี้เช่น ktc rcl gsteel เป็นต้น

 

มีคำถามว่าในเมื่อผมประเมินกำไร ktc ไม่ได้แล้วผมซื้อทำไม คำตอบก็คือว่า upside มันคุ้ม downside มากเนื่องจากว่าตอนงบเพิ่งออกถ้าผมได้ทุนวันที่งบออกต่อให้ซื้อแพงขึ้น 7-8% จากวันก่อนหน้า แต่ถ้างบไตรมาสกลับมาขาดทุนหรือกำไรบางมาก downside ก็คงลงไปแถวๆก่อนงบออกเพราะราคาตรงนั้นนักลงทุนไม่ได้มีความคาดหวังอะไรอยู่แล้ว แต่ในทางกลับกันการที่งบเพิ่งออกกำไรดีครั้งแรก ทำให้มีนักลงทุนที่ไม่มั่นใจว่าหุ้นจะดีจริงไหมและอยากที่จะรอดูงบอีกซักไตรมาสซึ่งถ้ายังทำกำไรสูงได้ต่อเนื่อง โอกาศที่หุ้นจะขึ้นไปแถว bv คงจะสูงเพราะบริษัทได้แสดงการกลับตัวติดกันสองไตรมาสแล้ว ต่อให้ไม่ถึง bv แต่ซัก 0.8-0.9 ก็ยังมีลุ้น ดังนั้นระยะเวลาในการหวังผลของผมก็แค่ 1 ไตรมาสกับ upside ที่มีโอกาศ 50-70% ซึ่งถือว่าคุ้มมาก สรุปว่ารวมปันผลถือแป๊ปเดียว upside เกิน 30% ไปแล้ว บางคนคิดมาก คิดว่ากำไรไม่แน่นอนเสี่ยง แต่ probably แห่ง tvi ยังบอกว่า หายใจยังเสี่ยงเลย (อยู่ๆอาจจะหยุดหายใจแล้วตายไปเลยก็ได้) บางคนพูดว่าเล่นหุ้นเสี่ยงไปขายข้าวแกงดีกว่า อ้าวคุณรู้ได้ไงว่า ขายข้าวแกงไม่เสี่ยง เปิดร้านไปอาจจะไม่มีคนมากินก็ได้ ดังนั้นทุกอย่างมีความเสี่ยง แต่ความเสี่ยงที่มีโอกาศได้ผลตอบแทนเยอะนั้นน่าสนใจและไม่ได้มีบ่อยนัก

 

ล่าสุด ktc ล่าสุด 19.70 ซึ่งทุนของผมต่ำกว่านี้มาก ผมออกตัวไว้คนจะได้ไม่คิดว่าผมมาเชียร์ ktc คุณซื้อคุณก็ประเมินความเสี่ยงและผลตอบแทนในรูปแบบของคุณเองนะครับ ที่ผมพูดมาเป็นเพียงแค่ case study

Comments (11)

หัวข้อสำหรับมือใหม่

ที่มาจาก link

http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=46763

 

 

เริ่มจากข้อ 1 ก่อนเลยคือ
1.มีความเชื่อบางอย่างอยู่ก่อนและเลือกเชื่อเฉพาะที่อยากฟัง

ผมจะขยายความต่อว่า
เวลาคนเราเข้ามาในตลาดหุ้นส่วนใหญ่จะมีทัศนคติบางอย่างติดตัวมาจากสังคมสิ่งแวดล้อมรอบข้างเช่น
หุ้นที่ปันผลไม่เยอะไม่น่าเล่น,หุ้นพลังงานผันผวนมากเลยต้องเข้าเร็วออกเร็ว,เล่นหุ้นอย่าถือยาว

มีคำกล่าวจากนักเทรดชื่อดังว่า

“อย่า ทิ้งความเห็นใดๆในตลาดหุ้นเพียงเพราะมันไม่ตรงกับสิ่งที่คุณเคยรับรู้เพราะ สิ่งที่คุณเลือกรับรู้และยึดไว้อาจจะเป็นทัศนคติที่ผิดๆแต่แรกและคุณก็จะปัด ทัศนคติของนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จออกไปเพียงเพราะว่ามันไม่ตรงกับสิ่ง ที่คุณเลือกเชื่อแต่แรกทำให้คุณมีแต่ทัศนคติที่ไม่ถูกต้องในการลงทุน”

ผม คิดว่าคนเราเมื่อมีประสบการณ์ลงทุนมากขึ้นความคิดจะค่อยๆเปลี่ยนไปถ้าเรา อยู่ในตลาดหุ้นไม่นานพอเราจะไม่มีทางรู้ว่าสิ่งที่เรายึดเอาไว้จริงๆแล้วผิด หรือถูก จริงๆแล้วคนที่อยู่ในตลาดหุ้นไม่นานมุมมองต่างๆคงมีโอกาศผิดมากกว่าที่จะถูก ดังนั้นจงเปิดใจให้กว้างเข้าไว้ครับ

ในส่วนของการเลือกเฉพาะที่อยาก ฟังมันเปรียบเสมือนการที่เรามีกล่องหนึ่งใบและมีของอยู่ข้างในถ้าอันไหนไม่ ชอบเราก็ไม่เอาใส่กล่องเราก็โยนทิ้งไปสุดท้ายไม่ว่าเราจะพูดคุยกับใครเราก็ ไม่ได้อะไรเพิ่มขึ้นเพราะเราเลือกรับรู้เฉพาะที่เราอยากฟัง

2.ไม่รู้ว่าหุ้นที่ตัวเองเล่นเหมาะกับสไตล์ของตัวเองหรือไม่

จริงๆแล้วหุ้นแต่ละประเภทจะเหมาะกับนักลงทุนในแต่ละแบบที่ไม่เหมือนกัน สิ่งที่เราต้องคำนึงคือเราต้องคิดถึงปัจจัยดังต่อไปนี้

-เวลา ในการดูหุ้น ส่วนนึงก็คือคุณเป็น full time หรือ part time ถ้าคุณเล่นมาร์จิ้นกับหุ้นที่เหวี่ยงตัวแรงๆแต่คุณกลับไม่มีเวลาเฝ้าหน้าจอ เกิดอะไรผิดพลาดนิดเดียวตอนเย็นพอคุณเลิกงานแล้วมาดูหุ้นคุณอาจเสีย หายมหาศาล

-คุณเป็นอิสระภาพทางการเงินหรือยัง ถ้าคุณเป็นแล้วผมคิดว่าการเสี่ยงมากๆเพื่อให้พอร์ตโตต่อไปคงสำคัญน้อยกว่า การ conservative เพื่อให้คุณรักษาระดับของการเป็นอิสระภาพทางการเงินเอาไว้ ถ้าคุณถึง financial freedom แล้วผมว่าพอร์ตของคุณน่าจะมีหุ้นปันผลที่รายได้ไม่ถดถอยตามวิกฤติเศรษฐกิจ เอาไว้ และมีหุ้นที่น่าจะโตได้ต่อเนื่องหลายปีโดยความเสี่ยงที่รายได้และกำไรจะลดมี น้อย

-เป้าหมายทางการลงทุนของคุณ ถ้าคุณเข้าตลาดหุ้นหลังจากที่ประสบความสำเร็จจากการทำธุรกิจแล้วคุณคงต้อง การผลตอบแทนที่มากกว่าการฝากแบงค์ระดับนึงแต่คงไม่จำเป็นต้องเสี่ยงมากเกิน เหตุไม่งั้นเงินที่ได้มาจากการทำธุรกิจอย่างยากลำบากจะพลอยสูญหายไปด้วย ดังนั้นพวกหุ้น commodity ,turnaround คงไม่เหมาะยกเว้นคุณจะอยู่ในตลาดนานมากพอจนเห็น cycle ต่างๆชัดเจนพอสมควรก็เป็นอีกเรื่อง ในอีกมุมนึงถ้าคุณอายุยังน้อยผมเชื่อว่าเกือบทุกคนต้องการเร่งผลตอบแทนการ ซื้อหุ้นปันผลหรือค่อยๆเติบโตคุณจะอึดอัดมากเวลาเห็นหุ้นตัวอื่นๆขึ้นไป เยอะๆโดยที่คุณไ่ม่ได้มีส่วนร่วม ส่วนใหญ่แล้วจะลงเอยด้วยการเล่นหุ้นอย่างไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่

-นัก ลงทุนมือใหม่ควรเลี่ยงหุ้นที่งบการเงินค่อนข้างซับซ้อนมีการถือหุ้นไขว้กัน ไปกันมาเยอะๆ เพราะการแกะงบถ้าไม่แกะให้ลึกจริงๆอาจจะไม่เห็นภาพที่แท้จริงแต่หุ้นบางตัว ขนาดมืออาชีพยังแกะงบแล้วปวดหัวเลยหุ้นแบบนี้มือใหม่พึงหลึกเลี่ยง

3.ประเมินมูลค่าหุ้นโดยพยายามแก้ใหม่ให้ไม่มากหรือน้อยเกินไป

-หลาย ครั้งบางคนจะไม่มั่นใจกับตัวเลข fair value เช่นถ้าเราใส่ตัวเลขเพื่อทำ dcf แล้วได้ตัวเลขราคาเหมาะสมออกมาเยอะๆ แบบว่าเยอะกว่าราคาตลาดเยอะๆ เราจะคิดว่าไม่น่าเป็นไปได้สิ่งที่เราทำหลายครั้งคือ การเพิ่ม wacc หรืออัตราคิดลดเมื่อเพิ่ม wacc ก็จะทำให้ตัวเลขที่ discount ออกมาเป็น present value ลดลง ผมว่าบางทีเราอาจจะได้เจอหุ้นหลายเด้งถ้าเราคิดว่าคิดแบบ conservative แล้วเราก็ไม่ต้องไปแก้ตัวเลขกำไร หรือลด pe หรือเพิ่ม wacc ลดเงินสด หรอกครับ

ในมุมกลับกันบางครั้งเราอยากซื้อหุ้นบางตัวเพราะคนรอบ ข้างบอกมาแต่เราคำนวนดูแล้วราคาเหมาะสมก็ใกล้เคียงราคาตลาดนี้นาเราก็ใช้ eps เวอร์ขึ้นหน่อย pe สูงอีกนิดแค่นี้เราก็มีข้ออ้างอย่างชอบธรรมในการซื้อหุ้นแล้ว :P ผมเองก็เคยเป็นครับไอ้แบบนี้พูดได้เต็มปากบางทีเรามีเงินสดเพิ่งขายหุ้นบาง ตัวยังหาหุ้นเ้ข้าไม่ได้เพื่อนเราก็เยอะมีคนหวังดีแนะนำหุ้นมาเต็มไปหมดไอ้ เราก็กลัวตกรถเลยหาข้ออ้างซัดไปงั้นแหละ สรุปดอย

 

4.เล่นแบบ bet หมดหน้าตักโดยไม่มีจุด stop loss

พอ ดีตอนทำเอกสารนี้สอนมือใหม่มีพูดเรื่อง technical แต่เว็บนี้ห้ามโพสเรื่องนี้ ผมจึงขอ adapt เป็นวิธีการ exit ในแบบของ vi แทนแล้วกันนะครับ

จริงๆแล้วในตลาดหุ้นเนี้ยเป็นเรื่องของอารมณ์ก็ ค่อนข้างเยอะหลายครั้งเราอาจจะมองหุ้นบางตัวดีเกินไป หรือบางทีก็ไม่ได้ดีเกินไปหรอกเรามองถูกแล้วเพียงแต่ว่ามันดันมีปัจจัยอะไร บางอย่างที่ทำให้สิ่งที่เราคิดเอาไว้ไม่ได้ตามที่คิด

เช่นเราคิดว่า บริษัท telecom จะได้ license 3g แน่นอนแต่บางคนที่อยู่มานานเขาก็เห็นว่าข่าวพวกนี้ก็บอกจะทำมาตั้ง 4-5 ปีแล้วแต่ก็ไม่สำเร็จซักทีหุ้นบางทีถูกเล่นขึ้นไปรับข่าวว่าน่าจะได้ license แน่นอน สมมุติว่าได้จริงราคาหุ้นอาจไปต่อได้แต่ถ้าไม่ได้หุ้นคงลงแรงแบบนี้พอประกาศ ว่าไม่ได้แล้วข่าวเงียบไปเลยหุ้นก็ลงแรงมากๆอย่างบางตัวลงจาก peak 40% ภายใจไม่กี่อาทิตย์ก็ยังมีเลยแบบนี้เป็นต้น ถ้าใครอัดหมดแล้วเจอแบบนี้คงแย่

หรือ หุ้นตัวเล็กๆใน mai หลายๆตัวที่เล่นว่าเป็น growth story ต่อเนื่องแต่อยู่ๆก็ประกาศเพิ่มทุนตั้ง 50% ของทุนที่มีอยู่จาก 200 ล้านหุ้นเป็น 300 ล้านหุ้น คนที่เล่นก่อนหน้านี้คงไม่มีใครรู้ว่าบริษัทจะเพิ่มทุนมากขนาดนี้ แน่นอนอยู่แล้วตลาดหุ้นมีความไม่แน่นอนตลอดเวลา แต่ถ้าคุณอัดหุ้นตัวนี้เต็มพอร์ตตัวเดียวแล้วเจอแบบนี้คงจุกมากทีเดียว

ข้อ แนะนำของผมคือถ้าคุณจะเล่นตัวเดียวหนักๆคุณควรซื้อถัวเฉลี่ยขาขึ้นจะเหมาะ กว่าซื้อเฉลี่ยขาลง(สำหรับมือใหม่)เหตุผลคืออะไรนะเหรอ เพราะถ้าคุณยังไม่สามารถวิเคราะห์หุ้นได้แตกฉานมากนัก แถมยังชอบอัดไม่กี่ตัวเต็มพอร์ต การซื้อถัวเฉลี่ยขาขึ้นจะช่วยรับมือกับความไม่แน่นอนของตลาดได้อย่าง กรณีบริษัทที่ประกาศเพิ่มทุนที่ว่านี้ สมมุติว่าคุณประเมินราคาที่เหมาะสมใน 3 ปีก่อน (ขอเน้นว่า 3 ปีก่อนไม่ใช่ปัจจุบันผมไม่ได้ใบ้หุ้นนะครับ กรุณาอ่านดีๆ) 18 บาทกรณีที่บริษัทไม่ได้เพิ่มทุนหรือเพิ่มก็ซักไม่เกิน 10% ของทุนเดิม ถ้าคุณถัวเฉลี่ยขาขึ้นอย่างเช่นแบ่งเป็น 3 ไม้จะเอา 100000 หุ้นก็ใช้แบบฐานล่างเยอะสุดก็คือซื้อ
40000หุ้นถ้าขึ้นซัก 5% ก็ซื้อเพิ่มอีกซัก 30000 หุ้นถ้าขึ้นอีกซัก 10% ก็ค่อยซื้อเพิ่มอีกเป็นต้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นจะมี 2 แบบ

1.ถ้า คุณซื้อยังไม่ครบแล้วบริษัทประกาศเพิ่มทุนมากแบบ surprise คุณจะเจ็บตัวน้อยเพราะจำนวนหุ้นไม่ได้เยอะมากอย่างที่ตั้งใจจะซื้อและเมื่อ คุณเห็นว่าราคาเหมาะสมน่าจะต่ำกว่าที่คุณเคยคิดคุณก็ขายหุ้นที่ซื้อออกไปนี้ ออกมาซะ

2.ถ้าคุณซื้อครบนั้นแสดงว่าคุณต้องมีกำไรแล้วถูกไหมเพราะถ้า ไม่กำไรไม้สองกับสามจะไม่ตามมาดังนั้น ถ้าซื้อครบแล้วค่อยเจอข่าวร้ายแบบ surprise หุ้นอาจแค่ลงมาถึงทุนของคุณเท่านั้นเอง

วิธีที่ผมว่ามานี้ อาจดูยุ่งยากแต่มันอาจจะช่วยมือใหม่ที่ชอบอัดหุ้นหนักๆไม่กี่ตัวแล้วยัง วิเคราะห์หุ้นได้ไม่ลึกซึ้งมากในการเอาตัวรอดจากความไม่แน่นอนของตลาดได้

ส่วน คนที่มั่นใจในการวิเคราะห์ของตัวเองว่าถูกแน่นอนก็อาจจะซัดไม้เดียวหมดหรือ ซื้อถัวขาลงก็แล้วแต่เพราะถ้าท่านวิเคราะห์ได้ขาดจริงๆแล้วหุ้นลงเพราะตลาด ไม่มีประสิิืทธิภาพสุดท้ายหุ้นท่านก็จะกลับมาได้ แต่สำหรับผมส่วนตัวผมไม่กล้าซื้อถัวขาลง แต่ผมก็ไม่ได้บอกว่าวิธีนี้ดีหรือไม่ดีนะ

5.ไม่คิดก่อนว่าถ้าราคาขึ้นหรือลงไปเท่าไหร่จะทำอย่างไร

ข้อนี้จริงๆแล้วในเอกสารทำขึ้นมาเพื่อพูดเรื่องเทคนิคแต่ผมคิดว่ามันสามารถประยุกต์มาพูดแบบ vi ด้วยได้เช่นกัน

ขอ นี้ผมขออนุญาติพูดถึงการบริหารพอร์ตที่พี่ yoyo เคยโพสไว้เรื่องการทำ excel เรื่องราคาเป้าหมายของหุ้นแล้วคอยปรับให้พอร์ต undervalue อยู่ตลอดเวลา ถ้าใครเคยอ่านของพี่ yoyo แล้วก็ขอโทษที่ฉายหนังซ้ำ :oops:

สำหรับ คนที่มีหุ้นหลายตัวในพอร์ตการทำให้พอร์ตมีหุ้นที่รวมๆแล้วค่อนข้าง undervalue อยู่ตลอดเวลาเป็นสิ่งที่เราใช้ประโยชน์จากความไม่มีประสิทธิภาพของตลาดได้ เช่นหุ้น
a เราคิดว่า upside 30%
ิb ก็คิดว่า 30%
เราก็ควรคิด ไว้ก่อนว่าถ้า a ขึ้นมาที่ x บาท a จะเหลือ upside แค่10% ถ้าตอนนั้น b ยังไม่ึขึ้นเราจะขาย a เพื่อไปซื้อ b เพิ่มที่นี้พอร์ตของเราโดยรวมก็จะยัง undervalue (ในสายตาเรา)โดยที่เราได้ take profit หุ้น a ออกมาแล้วด้วยแต่พอร์ตก็ยัง undervalue เจ๋งไหม ถ้าเจ๋งก็ตรบมือให้พี่ yoyo ครับ
ถามว่าเรื่องบริหารพอร์ตแบบนี้มันเกี่ยวอะไรกับหัวข้อที่ผมพูดครับ เกี่ยวตรงที่ว่าถ้าท่านไม่ได้คิดแบบนี้ล่วงหน้าไว้ก่อนเวลาหุ้น a ขึ้นไปท่านก็ไม่ได้ขาย ท่านก็คิดว่า เย้ หุ้นตรูเขียวแล้วขอให้พรุ่งนี้เขียวอีกนะ นะ นะ นะ สรุปก็ไม่ได้ปรับพอร์ตอะไรแบบนี้เป็นต้น

ที่นี้ถ้าคนที่มีหุ้น ตัวเดียวล่ะแบบว่าชอบอัดตัวเดียวล่ะทำไงก็ใช้วิธีแบบที่พี่ picatos เพิ่งโพสเร็วๆนี้ก็คือว่าถ้าปีหน้าคุณมองว่าหุ้นจะทำกำไรได้ระหว่าง(ตัวเลข make ลอยๆนะไม่เกี่ยวกับหุ้นตัวไหนเลย)

1-1.4 pe ต่ำสุดน่าจะได้ซัก8 สูงสุดซัก 12
ถ้าราคาหุ้นถึงโซน 8 บาทคุณอาจจะเริ่มลดลงซัก 15-20%
แต่ถ้าถึงโซน 16.8 (1.4×12) คุณก็ขายที่ยังเหลือให้หมด
สิ่งที่คุณควรทำคือตั้ง alert ในมือถือหรือบอกมาร์เก็ตติ้งว่าถ้าราคาเท่านั้นเท่านี้ให้โทรมาบอกหน่อยจะขายเท่านุ่นเท่านี้ก็ว่ากันไป

ส่วน ถ้าคุณถามว่าแล้วถ้าอัดตัวเดียวแล้วมันตกเลยล่ะทำไงก็จะกลับไปข้อที่ 4 ที่ผมโพสเมื่อกี้ว่าถ้าคุณมือใหม่ก็ซื้อถัวขาขึ้น ถ้ามือเก่าก็แล้วแต่คุณเลย

แบบนี้เป็นต้น

6.เหตุผลที่ใช้ซื้อกับขายคนละเหตุผล
เช่น ซื้อหุ้นแบบ nav เพราะประเมิณว่ามีสินทรัพย์มากและน่าจะ unlock แต่ปรากฏว่าพอไม่ unlock ก็หันมาบอกว่า แต่หุ้นเขาก็ยังดีนะปีหน้าน่าจะเริ่มปันผลได้แล้วนะ แถมปีนี้ยอดขายโตตั้ง 5% สุดยอดเลยนะตัวเอง บริษัทที่ปีหน้า(คาดว่าจะปันผลได้)กับยอดขายโตขนาดนี้หาไม่ได้อีกแล้วนะ เรื่องประมาณนี้พอเคยเจอกับตัวจริงๆนะครับ คือถ้าตอนคุณซื้อคุณคิดว่าราคาจะขึ้นเพราะอะไรแต่พอเรื่องนั้นมันไม่เกิด ขึ้นแล้วคุณก็หันไปพูดประเด็นอื่นแทนก็เข้าข่ายนี้ครับ

ข้อ 7 ก็คือนักลงทุนที่ดูงบส่วนใหญ่ชอบจะดูบรรทัดสุดท้ายแต่ผมว่าแนวคิดแบบนี้ไม่ปลอดภัยผมจะให้ดูอะไรบางอย่าง

 

งงไหม บริษัทอะไรค่าเสื่อมลดลงตั้งเกือบครึ่งแนะไม่มีสินทรัพย์ไว้ดำเนินธุรกิจ แล้วหรืออย่างไร บางคนอ่านแล้วก็ผ่านไปไม่ได้สังเกตุอะไรไปสนตรงที่กำไรมันโตเยอะ แต่จริงๆแล้วถ้าเขาได้กำไรเท่าไหร่คุณจะหักกำไรของเขาออกด้วยตัวเลข 43 ล้านตัวเลขนี้มาจากไหนก็มาจากรูปนี้

 

ก็คือจริงๆแล้วมีการใช้มาตรฐานบัญชีใหม่ซึ่งทำให้ค่าเสื่อมลดลง(คิดว่าอายุ การใช้งานนานขึ้นค่าเสื่อมต่อปีก็เลยลดลง)ซึ่งค่าเสื่อมลดทำให้กำไรเพิ่ม ขึ้นแต่ถ้าเราเทียบกับปี 2552 ซึ่งไม่ได้ใช้เกณฑ์แบบนี้ตัวเลขที่ได้จะไม่สามารถเทียบกันได้ตรงๆเราเลยต้อง ปรับเล็กน้อย

 

เนื้อหา่ส่วนสุดท้าย

การจะคัดเลือกหุ้นว่าเป็น super stock หรือหุ้นเกรดไหนนั้นส่วนนึงที่เราจะนำมาใช้ก็คือเกณฑ์สามตัวนี้ครับ
(แนวคิดดั้งเดิมของพี่ invisible hand นะครับ)
1.market growth
2.market share
3.net margin

บริษัทที่ระดับโคตรเทพจะมีครบหมดแต่จริงๆแล้วผมว่าแค่สองก็เยี่ยมแล้วล่ะ

ผม ยกตัวอย่างถ้านักลงทุนมือใหม่เห็นบริษัทแห่งนึงมี pe ที่แพงเช่น 15-20 เท่าแล้วจะบอกว่านั้นเป็นหุ้นที่ไม่น่าลงทุนแบบนี้ก็อาจจะตกรถได้

กรณี หุ้น cpall นั้น ผมคิดว่าเขาเป็นหุ้น market growth เพิ่มและ net margin เพิ่มส่วน market share คงจะเพิ่มได้เล็กน้อย(อันนี้ท่านไหนไม่เห็นด้วยก็เชิญมา discuss กันนะครับ) ผมเองเคยซื้อ cpall ในสมัยก่อนตอนประมาณ 8 บาทแต่ขายหมูไปนานมากแล้วถ้าถามผมว่าทำไมบริษัทนี้ตอน 8-10 บาท อาจารย์นิเวศน์ถึงลงทุน ผมว่าหลายๆคนที่เคยไปฟังในงาน meeting ปี 2007 คงได้ยินเหตุผลกันหมดครับ แต่นี้ปี 2011 ลองฉายหนังซ้ำให้มือใหม่คงจะดีครับ

ตอน นั้นเนี้ย cpall น่าจะมีสาขาประมาณ 4000 กว่าๆซึ่งเขาจะขยายปีละ 500 สาขาซึ่งถ้าเทียบกับต่างประเทศเช่นญี่ปุ่นแล้ว cpall น่าจะขยายสาขาไปได้อีกหลายปีจนสาขาเกือบๆ 1 หมื่น ถึงตอนนั้นอาจจะเริ่มตันๆแต่เราคงเห็นแนวโน้มว่ามันโตได้หลายปี ถ้าผมจำไม่ผิด d.r. นิเวศน์ เคยบอกว่า cpall ช่วงนั้นมีการบริหารจัดการที่ดีขึ้นมากและเขาสังเกตุว่ามีคนเข้าร้านมากขึ้น เรื่อยๆ และ cpall เองเนี้ยถึงแม้จะมีการขยายสาขามากมายแต่ sss หรือ same store sale growth ก็ยังมีซึ่งนั้นเป็นการสะท้อนว่าตลาดไม่ได้ตันบริษัทไม่ได้เอาแต่ขยายสาขา แล้วไม่สร้างมูลค่า

หรืออย่างกรณี bgh ผมคิดว่าก็เป็นหุ้นคล้ายกับ cpall ก็คือ market growth ,net margin เพิ่ม ผมไม่ได้ตาม bgh ละเอียดมากแต่สมัยก่อนจำได้ว่าเขาเอาแต่ take over แล้วก็ d/e ค่อนข้างสูง แต่พี่ ih เคยเล่าว่า health care cost/ gdp ต่อหัวของประเทศเจริญแ้ล้วถือว่าสูงกว่าของไทยมาก และแบรนของ bh bgh ก็เป็นระดับโลก ถ้าผมจำไม่ผิด bh เป็นโรงพยาบาลแห่งแรกในเมืองไทยที่ได้ใบอนุญาติอะไรซักอย่างเนี้ยแหละ ซึ่งทำให้ถือว่าเป็นแบรน go inter และตอนหลังๆ bgh ก็ได้ใบที่่ว่านี้ด้วย และเมื่อถึงจุดนึง margin ของ bgh ก็กระโดดขึ้นมา อะไรทำนองนี้ผมว่าอย่าง bgh cpall เราคงไม่สามารถมองด้วยมุมธรรมดาได้ส่วนนึงเราอาจต้องมองว่ากลุ่มที่เล่นหุ้น พวกนี้ไม่ใช่รายย่อยแต่เป็นกองทุนกับต่างชาติซึ่งเขาคงไม่มองแบบเราเขาคงมอง เทียบกับราคาของภูมิภาคเป็นต้น

หรือถ้ายกตัวอย่างหุ้นมือถือในอดีต อย่าง advanc สมัยก่อนที่จะมี structural change ที่ทำให้คนเข้าถึงมือถือได้มากเพราะมีการปลดล็อค อีมี่ ราคาของมือถือลดลงมากและกลุ่มรากหญ้าและวัยรุ่นสามารถเข้าถึงมือถือได้ในตอน นั้น advanc ถือเป็นหุ้น super high market growth ,high market share,improve net margin ซึ่งกำไรของบริษัทก็ขึ้นเร็วมากๆจนเริ่มอิ่มตัวตามยอด penetration rate แบบนี้เป็นต้น ถ้าเราดูจะเห็นว่าราคาหุ้นของ advanc ไม่ไปไหนมานานแล้วตามความเห็นของผมคือ market มันไม่ค่อยโตแล้วทุกวันนี้ใครๆก็ใช้มือถือหมดแล้ว market share ก็สูงแล้วแต่เริ่มโดนคู่แข่งพยายามแย่งแชร์

ประเด็นของ high market growth นั้นถือเป็นเรื่องดีมากเพราะเมื่อ market growth โตทุกคนก็ enjoy ไม่จำเป็นต้องหันมาฟาดฟันกันเองแต่เมื่อ market เริ่มไม่โตคนอยากโตก็ต้องแย่งแชร์เพิ่มก็หันมาอัดกันเอง ถ้าจำได้มีอยู่ช่วงนึงมีการลดค่าโทรเหลือนาทีละ 0.25 ด้วยซ้ำประมาณ 4-5 ปีก่อนซึ่งถ้า market growth เราคงไม่ค่อยเห็นภาพแบบนี้ดังนั้นท่านต้องดูว่าหุ้นที่ถืออยู่นั้นเป็นหุ้น ที่ market growth ไหมถ้ายัง growth แล้ว improve net margin ได้อันนั้นเป็นหุ้นที่น่าลงทุนถ้าราคาไม่แพงเวอร์เกินไป

อย่าง หุ้นอสังหริมทรัพย์เราอาจต้องลองคิดดูว่าดอกเบี้ยประกาศขึ้นเรื่อยๆแบบนี้ market จะ growth ได้ไหม ถ้าได้ตัวไหนน่าจะมี margin ที่ดีขึ้นหรือรักษาระดับได้บ้าง หรือตัวไหนเริ่มมีการเจาะตลาดใหม่ๆที่จะเพิ่มแชร์ได้บ้าง แบบนี้เป็นต้น ถ้าเราต้องการไปประยุกต์ใช้ ผมเองก็ไม่ได้ตามหุ้นกลุ่มนี้มานานแล้วไม่แน่ใจเหมือนกัน

อย่าง cawow เนี้ยผมว่าถ้าจำกันได้เข้าเมืองไทยแรกๆนี้ดูเทพนะ ดูเหมือนว่าแบรนมีระดับมากจำได้ว่าผู้บริหารเคยบอกว่่าในประเทศอื่นๆค่าใช้ จ่ายทาง fitness จะสูงกว่าในเมืองไทยตอนนั้นมากแล้วเป็นไงตอนนี้ดูไม่จืด ผมว่าถึงคนจะเล่นฟิตเนสมากขึ้นจริงก็เถอะแต่การที่บริษัทใช้แบบ ขายตลอดชีิวิต ผมว่าหุ้นมันก็ไม่น่าลงทุนเพราะว่ามันบันทึกรายได้เข้าไปเลยแล้วปีอื่นๆล่ะ เราต้องมีภาระการใช้จ่ายที่สูงขึ้นจากค่าเสื่อมของอุปกรณ์ต่างๆที่ลูกค้่าคน เก่าๆมาเล่นแล้วเสียหายเหรอ แล้วเงินใหม่ๆที่เข้ามาล่ะ อะไรแบบนี้ ผมว่าบางทีไอ้ market ที่ดูเหมือนจะ growth แต่ถ้าบริหารไม่ถูกที่ควรจะทำจะเป็นหุ้นมันก็ไม่ดีหรอก

ดังนั้นจะดี กว่าถ้า high market growth,good management ไม่ใช่ high market growth ,bad management ซึ่งผมว่าบริหารดีไหมเนี้ยก็คงติดตามไม่ยากจากตัวเลข sg&a ,margin เป็นต้น

อีกเรื่องนึงที่พี่ ih เคยพูดไว้คือ
1.low operating risk can have high financial risk
2.high business risk should have low financial risk
หลาย คนที่เป็นมือใหม่อาจจะวิเคราะห์หุ้นโดยงบการเงินเป็นสำคัญแต่ว่าจริงๆแล้ว มันก็มีบางอย่างที่เราต้องเจาะจงลงไปเพิ่มในตัวรายละเอียดเช่น

ถ้า เป็นบริษัทอสังหริมทรัพย์แต่ละตัวก็จะมี operating risk ที่แตกต่างกันเช่นหุ้น ps lpn ที่เจาะตลาดล่างซึ่งเป็น real demand ของคนที่ต้องการบ้านก็คงจะมี operating risk ที่ไม่สูงมากถ้าเทียบกับตลาดบนที่เวลาเศรษฐกิจไม่ดีก็ชะลอกำลังซื้อได้ มากกว่าเช่นพวก lh qh แต่ยกเว้นบนแบบโคตรๆเช่น sc ที่ปี 2008 ยอดขายก็ไม่ drop อันนั้นผมว่าคือมันกลุ่มรวยเวอร์จนไม่ได้แคร์อะไรอยู๋แล้ว

ดัง นั้นถ้าเรามองแบบนี้หุ้นแต่ละตัวอาจจะสามารถมี balance sheet ที่ไม่เหมือนกันเพราะตัวที่คงทนต่อการตกต่ำของเศรษฐกิจได้มากกว่าก็สามารถ ที่จะมี financial risk ได้สูงกว่า สามารถมีได้ไม่ได้หมายถึงว่าควรมีนะครับ

และ นอกจากนี้การวิเคราห์ ยังสามารถมองไปที่เรื่องของ account recievable ได้ด้วยเช่นหุ้นสองตัวขายของคล้ายๆกันตัวนี้ขายเงินสด ตัวนึงขายเงินเชื่อ เมื่อเศรษฐกิจดีก็ดูเหมือนจะไม่มีปัญหาแต่เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำยอดขายลดจะทำ ให้หุ้นที่รับเงินเชื่อเริ่มมีปัญหาหนี้เสียซึ่งมันก็ดูเป็น high operating risk

ส่วนหุ้นที่มี low operating risk น่าจะอยู่ในหุ้นแบบที่มี market growth และขายสินค้าที่ไม่ sensitive ต่อภาวะเศรษฐกิจรับไม่ขายเชื่อ มากเกินไป หุ้นพวกนี้ถ้าจะมี d/e สูงขึ้นมาหน่อยก็คงจะไม่เสียหายอะไร เช่นค้าปลีก หรือโรงพบาบาล บางตัว

ถ้าบางบริษัทที่อยู่ใน market growth ที่ดีและไม่ค่อยขายเชื่อแต่มีลูกค้าน้อยรายมีการพึ่งพิงรายได้หลักๆจากไม่ กี่เจ้า แบบนี้ผมว่าก็เป็น high operating risk เหมือนกันเพราะไม่รู้ระเบิดเวลาจะออกมาเมื่อไหร่สมัยก่อนก็มีหุ้นบางตัวที่ เจอปัญหาแบบนี้มาแล้ว

ที่นี้พูดถึงเรื่องการใช้มาร์จิ้น จริงๆแล้วผมก็ไม่ได้แนะนำให้ใครใช้มาร์จิ้นแต่ว่าถ้าอยากใช้จริงๆก็ควรใช้ กับหุ้น low operating risk เพราะการที่เรา leverage เข้าไปจะช่วยให้ return สูงขึ้นได้ ถึงแม้ความเสี่ยงจะสูงขึ้นด้วย แต่ก็ยังดีกว่าที่เราไปใช้มาร์จิ้นกับหุ้น high operating risk เพราะถ้าเกิดผิดพลาดอะไรขึ้นมานั้นหมายความว่าเราอาจจะเสียหายหนักมากๆ เพราะชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่า high operating risk แล้วเรายังจะไป leverage มันเพิ่มเข้าไปอีกทำไม

เออ ประมาณไปล่ะกันเน้อไม่รู้จะเขียนอะไรแล้ว เห็นมีคนมาบอกว่าชอบๆๆๆ ผมก็มาเขียนให้เพิ่มอีกแต่ตอนนี้สงสัยจะหมดมุขจริงๆแล้ว

Comments (5)

บทสัมภาษ hongvalue ในเว็บไซด์ต่างๆ

บทสัมภาษในเว็บ efinancethai ช่วงปลายปี 2009 ที่ยังไม่ได้เจอ อาจารย์ bremner

http://www.efinancethai.com/lifestyle/lifestylefile/l_frontpage_sathaporn.asp

บทสัมภาษกับเด็กเลี้ยงแกะในเว็บ tvi หลังจากบทสัมภาษเดิมของ efinance อีกประมาณ 1 ปี

http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=44666&start=120

เวลาเปลี่ยนความคิดในการลงทุนก็เปลี่ยนไปครับ ลองอ่านดูครับ

 

Comments (15)

นิสัยของนักลงทุนระดับโลก

มีหนังสือเล่มนึงที่อยากแนะนำให้เพื่อนๆอ่านกันคือ the winning investment habits of warren buffet & george soros

วันนี้ผมจะนำเนื้อหาบางส่วนที่คิดว่าเป็น highlight ของหนังสือเล่มนี้มาเล่าให้ฟังกันครับ

มี deadly investment sin อยู่อย่างนึงที่คนส่วนใหญ่เชื่อกันคือว่า

พวกเขาเชื่อว่าการคาดการณ์ตลาดได้เป็นสิ่งที่นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จจำเป็นต้องมี

แต่นักลงทุนระดับโลกไม่เชื่อแบบนั้นครับ ในหนังสือเล่มนี้ก็มีบทสัมภาษทั้งส่วนของโซรอสและบัฟเฟตว่าทำไมทั้งสองถึงไม่เชื่อ สามารถอ่านเต็มๆได้ในหนังสือ ส่วนผมจะลองแชร์มุมมองที่มีต่อประโยคนี้ดู

ผมเองคิดว่าในภาวะปกติหุ้นที่มีความแข็งแกร่งจะสามารถแสดงศักยภาพของมันออกมาได้ ในที่นี้หมายถึงหุ้นที่มีปัจจัยทางพื้นฐานที่โดดเด่นมากๆ แต่ประเด็นก็คือว่าเวลาตลาด crash ต่อให้กำไรของหุ้นเป็นอย่างที่เราคาดแต่ว่าราคาหุ้นก็พร้อมที่จะกลับทิศทางกันแบบตรงกันข้ามได้เลย ทำให้เวลาตลาด crash หุ้นพื้นฐานดีแค่ไหนร้อยละ 90-95% ก็จะเละหมด ไม่เชื่อลองดูได้ว่าปลายปี 2008 มีหุ้นกี่ตัวที่ราคาสูงกว่าตอนต้นปี แต่ประเด็นที่สำคัญคือจริงๆแล้ว ไม่มีใครบอกได้ว่าตลาดจะ crash ก็ต่อเมื่อมัน crash แล้ว ผมเองเจ็บตัวน้อยในปี 2008 แต่ก็รู้สึกว่าผมก็ไม่ได้รู้หรอกว่าตลาดจะแย่ขนาดนั้นเพราะผมล้างพอร์ตประมาณ 590 ถ้าผมรู้จริงผมคงจะขายตอนดัชนี 880 แล้วจริงไหม เวลามีคนมาถามผมว่าตลาดจะเป็นยังไงบางทีผมก็ตอบแบบกวนส้นตีนกลับไปว่า ถ้าผมรู้ผมก็เล่น future รวยไปแล้วสิ ก๊ากกกกกกก และผมตั้งข้อสังเกตว่าหลายคนที่ได้ผลตอบแทนดีๆก็ไม่ได้คาดการณ์ได้หรอกและแท้จริงแล้วไม่น่าจะมีใครคาดการณ์ได้ เพียงแต่ว่าเวลาที่รู้สึกว่าคิดถูกบางทีเราต้อง let profit run ให้เต็มที่เพื่อให้มีกำไรเอาไว้มากพอสำหรับเวลาที่เราจะเจ็บตัว และเวลาเราเจ็บตัวก็ต้องเจ็บให้น้อยที่สุดถ้าเทียบกับเวลาที่เราทำกำไรได้ ผมว่าตลาดหุ้นคือสุดยอดของการมองไปข้างหน้าตลาดจะคิดเรื่องอนาคตแล้ว discount มาที่ปัจจุบันเสมอดังนั้น การพยายามคิดว่าตลาดคิดยังไงผมว่าเป็นเรื่องที่เราคงไม่สามารถทำได้อย่างแม่นยำพอที่จะคาดหวังผลลัพธ์ของมันได้หรอก จริงๆแล้วเวลาที่คุณขาดทุนหนักสิ่งที่คุณต้องอย่าให้เสียไปก็คือว่าใจ คุณอย่ากลัวตลาดมากเกินไปหลายคนผ่านไป 2008 แล้วกลายเป็นคนกลัวตลาดหุ้นมากเกินไปทำให้ปล่อยโอกาศดีๆหลุดมือไปเยอะ ผมคิดว่านักลงทุนควรหันมาให้ความสำคัญกับสิ่งที่ตัวเองควบคุมได้เช่นภาวะจิตใจของตัวเองมากกว่าสนใจในสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้เช่น ภาวะตลาด

นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมีความเชื่อเรื่องการรักษาเงินต้นมาก หลักฐานคือคำพูดนี้

Buffet –never lose money 2.never forgot rule no .1

Soros –survive first and make money afterward

ผมเองมีโอกาสได้ถาม marketing หลายคนว่าจริงไหมว่านักลงทุนที่คุณดูแลพอร์ตอยู่ร้อยละ 90% ขาดทุนในหุ้นก็ได้รับการยืนยันมาว่าจริง  จากที่ผมอยู่ในตลาดหุ้นมาหลายปีได้เห็นเลยว่านักลงทุนประเภทแมงเม่ามักจะซื้อแล้วคิดถึงแต่ตอนกำไรแล้วกำไรนิดเดียวก็อยากจะขายพอขาดทุนก็เก็บไว้ ผมถามหน่อยว่าถ้าโลกนี้มันง่ายถึงขนาดว่าไม่ต้องคิดอะไรมากอยากซื้อก็ซื้อได้กำไรก็ขายขาดทุนก็เก็บไว้ถ้ามันง่ายขนาดนั้นจะไปมีคนเจ๊งหุ้นตั้งเยอะเยะได้ยังไงกันเล่า คุณไม่รู้เรื่องแล้วมาเล่นหุ้นแล้วคุณจะกินเงินใครครับ คนที่ทำการบ้านมากกว่าคุณ กองทุนที่มีความรู้ ต่างชาติที่มีข้อมูลละเอียด กลุ่มไหนครับที่จะมาโง่ให้คุณเอาตังค์ตอบหน่อยครับ แล้วถ้าไม่มีคนเสียตังค์แล้วเราจะได้ตังค์จากใครล่ะครับ จะเอาเงินในตลาดหุ้นอย่าคิดอะไรง่ายๆครับ อุ๊ยออกนอกเรื่องมากไปหน่อยต่อๆคือ คนที่ได้ตังค์ที่ผมเห็นส่วนใหญ่มักจะพูดประเด็นเรื่อง downside ก่อนเสมอเขามักจะบอกว่าทำไมหุ้นที่เขาซื้อไม่น่าจะทำให้เขาขาดทุนได้ เขามักจะบอกว่าอย่างเร็วร้ายที่สุดเขาก็ไม่น่าขาดทุนเกินเท่าไหร่ เนื่องจากพื้นฐานบริษัทดีขึ้นอย่างไรและเขาได้ปันผลจากบริษัทต่อปีเท่าไหร่เป็นต้น

ข้อต่อมาคือ ความเชื่อผิดๆมักจะคิดว่าผลตอบแทนสูงจะต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงสูงเท่านั้น

แต่นักลงทุนระดับโลกเชื่อว่าผลตอบแทนที่สูงจะน่าสนใจก็ต่อเมื่อมาพร้อมกับความเสี่ยงที่ต่ำเท่านั้น

สมมุติว่าคุณลงทุนในหุ้นร้อนแรงตัวนึงที่ขึ้นมาเยอะแล้วมาพร้อมกับข่าวดี สมมุติว่าข่าวดีที่ว่านี้ดีจริงที่จะทำให้พื้นฐานหุ้นไปได้ต่อแต่ประเด็นก็คือว่าถ้าเกิดมันมีอะไรผิดคาดเกี่ยวกับตัวหุ้นขึ้นมาล่ะ หรือว่าถ้าตลาดเกิด crash ขึ้นมาซะก่อนล่ะ คุณจะทำอย่างไร การที่คุณไปซี้ซั่วะซื้อตอนข่าวดีออกมาตามหน้าหนังสือพิมพ์แล้วใครๆก็รู้หมดแล้วอาจจะได้กระแสของ momentum ที่จะไปต่อได้ก็จริงแต่ถ้ามีอะไรผิดคาดมันก็ทำให้คุณเจ็บตัวได้เยอะเหมือนกัน ผมคิดว่าการที่จะทำให้การลงทุนมีความเสี่ยงต่ำได้อย่างนึงคือทำเหมือนที่ buffet พูดก็คือซื้อบริษัทที่ดีที่มีปัญหาแค่ชั่วคราวเพราะว่า ตลาดหุ้นมักจะมองอะไรสั้นๆเสมอดังนั้นเวลาเกิดอะไรเลวร้ายแม้จะกระทบสั้นๆแต่หุ้นจะล่วงแรงเกินความเป็นจริงบ่อยๆคนที่ซื้อตอนนั้นได้ราคาหุ้นที่รองรับสิ่งที่เลวร้ายและไม่คาดฝันบางอย่างไปแล้วน่าจะทำให้ความเสี่ยงในตอนนั้นลดลงไปได้พอสมควร แต่ในทางกลับกันใน long term กับมี upside สูงแบบนี้เป็นต้น ความรู้เป็นสิ่งที่ควรจะทำให้ปรัชญา high risk high return เปลี่ยนเป็น low risk high return ถ้าคุณมีความรู้แล้วคุณยังต้อง high risk เหมือนคนที่ไม่รู้อะไรเลย คุณควรจะพิจรณาตัวเองอย่างหนักได้แล้วครับ

Comments (49)

สื่อในเมืองไทย(ไม่การเมือง)

ไม่กล้าพูดเรื่องการเมืองหรอก เพราะคนรอบข้างล้วนแล้วแต่มีเหตุผลที่ดี และหลายคนเห็นไม่ตรงกัน อะอะกลับเข้าเรื่องดีกว่าหลายครั้งอ่านหัวข้อหนังสือพิมพ์และเว็บไซด์ต่างๆรู้สึกว่ามีลูกมั่วพอสมควรยกตัวอย่างว่า เขียนข่าวว่า “ต่างชาติไทยหุ้นไทย40000 ล้านผวาการเมือง” การเขียนในลักษณะนี้มีประเด็นที่ต้องคิดต่อ ข้อแรก คุณรู้ได้อย่างไรว่าต่างชาติขายเพราะกลัวการเมือง คุณเอาอะไรมาวัดผมว่าถ้าเขาจะเสนอข่าวแบบนี้ได้จริง เขาต้องเสนอรายละเอียดอย่างเช่น

ในขณะที่หุ้นเอเชีย และทั่วโลกต่างขึ้น และต่างชาติมี flow ไหลเข้าทั่วภูมิภาค แต่เราต่างชาติได้ทิ่งหุ้นเราเพราะการเมือง โดยเราสัมภาษกองทุนใหญ่ๆว่าเขากังวลการเมือง อะไรแบบนี้เป็นต้นเช่นคุณบอกว่า head of strategy ของกอง bla bla bla บอกว่า ไอกังวลการเมืองมากๆ ไอทิ้งหุ้นไทยเพราะไอคิดว่าการเมืองจะยืดเยื้อ ไอกลัวมากๆ ไอขอขายแบบหนีตายเลย (ในความเป็นจริงอาจจะสัมภาษไม่ได้แต่ก็ไม่ควรพูดลอยๆแบบคิดไปเอง)สมมุติว่า ต่างชาติขายเพราะกลัวยุโรปแล้วคุณบอกว่าเพราะการเมือง แล้วการเมืองจบแต่ยุโรปไม่จบ แล้วต่างชาติยังขายต่อ รายย่อยที่ไม่รู้เรื่องก็เข้าไปซื้อเพราะคิดว่า นี้ไงกลัวการเมืองตอนนี้ม๊อบไม่อยู่แล้วเดี่ยวกลับมาซื้อ

หรืออย่างสมมุติว่าหุ้นขึ้นเยอะแล้วต่างชาติซื้อ คุณอาจเขียนว่าต่างชาติมั่นใจเศรษฐกิจไทยลุยซื้อหุ้นต่อเนื่อง

ประเด็นคือคุณรู้ได้ไงว่ะว่าซื้อเพราะมั่นใจเศรษฐกิจ เขาอาจจะซื้อเพราะว่าเงินไม่มีที่ไปหนีดอลล่าอ่อนมาก็ได้

ไม่ได้มั่นใจตัวเลขเศรษฐกิจหรอก ของแบบนี้เหมือนกับว่าเราไม่ได้เข้าใจเข้าจริงๆ แล้วเราก็เขียนว่าเขาทำนุ่นเพราะเหตุผลนี้เขาทำนั้นเพราะเหตุผลนั้น ผมว่าหลายครั้งคนเขียนข่าวผมขอใช้คำว่าคุณพี่ท่านก็เขียนมั่วๆไปงั้นแหละ(ฟ้องไม่ได้นะ ผมไม่ได้เอ่ยชื่อว่าเจ้าไหน ผมอาจจะพูดลอยๆก็ได้)

รายการวิทยุบางรายการ คนที่ดำเนินรายการบางคน ก็ไม่มีวุฒิภาวะเวลาไปเชิญคนอื่นมารายการตัวเองแล้วยังไปพูดแทรก พูดแบบหักด้ามพล้าด้วยเข่า ผมฟังแล้วบางทีรู้สึกไม่สบอารมณ์แทนแขกที่ถูกเชิญไป ผู้ดำเนินรายการหลายท่านไม่ได้เปิดใจพอ การเปิดใจคือการเข้าใจว่าคนที่คิดต่างจากเราไม่ได้ผิด เราควรฟังเหตุผลของเขา ไม่ใช่เราคิดว่ามันไม่ดี แต่เขาบอกว่ามันไม่น่าแย่ขนาดนั้นแล้วก็ไปบอกว่า เชื่อผมสิ แย่ๆๆๆๆๆๆๆๆ  ทำเหมือนกับโลกจะแตก จริงๆแล้วผู้ดำเนินรายการคนนี้ไม่แน่ใจว่า record ทางการลงทุนเป็นอย่างไรด้วยซ้ำเคยได้ยินมาว่าเจ๊งหุ้นไม่เป็นท่ามาก่อน แต่ดันไปเถียงกับคนที่เล่นหุ้นแล้วได้เงินมาเกือบ 100 เท่าแบบนี้เป็นต้น แบบนี้บางครั้งการรู้ blackground ของคนที่เขียนบทความ ออกรายการวิทยุ บางทีอาจจะพอทำให้คุณเข้าใจได้ว่าเขาเป็นคนมองโลกแบบ bias ในทางร้ายเกินไปหรือเปล่า เพราะว่าอดีตเขาก็เจ๊งหุ้นมาก่อนจะให้มองในแง่ดีคงไม่ได้ แค่มองเป็นกลางยังไม่ได้เลย แต่ผมก็ไม่ได้ว่าเขาไปซะหมดอย่างน้อยเวลาเขาพูดอะไรที่มันน่ากลัวรายย่อยก็อาจจะ

ไม่ซี้ซั้วซื้อเข้าไปจนเจ๊งแต่ว่าสำหรับรายย่อยที่กระดูกแข็งขึ้นมาหน่อยเช่น พวกที่อยู่มาหลายๆปีใน tvi พวกนี้จะมีภูมิคุ้มกันตัวเองสูง ผมว่าเขาอยากได้มุมมองที่เป็นกลางมากกว่า อะไรที่แบบว่าแย่ไปหมด แย่ไปตลอดเวลา

ถ้ามันแย่ขนาดนั้นผมก็ไม่ต้องซื้อหุ้นแล้ว ผมก็ไม่ต้องมาเสียรายการฟังวิทยุเพื่อหาข่าวสาร หาหุ้นเด็ดหรอก

ไปขายเต้าฮวยให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยดีกว่า

 5555 วรรคสุดท้ายพูดเล่นนะ

Comments (14)

ความแตกต่างของนักพนันกับนักบริหารความเสี่ยง

คำว่านักพนันดูเป็นภาพลักษณืที่แย่ในสายตาคนส่วนใหญ่ หลายคนเข้ามาเล่นหุ้นแล้วพยายามใช้คำว่าตัวเองเป็นนักลงทุน อย่าเรียกว่านักเล่นหุ้นนะ แต่ผมคิดว่าการบอกว่าตัวเองเป็นใครเป็นแบบไหน ใครๆก็จะนิยามตัวเองให้ดูดีเกินจริงหมดนั้นแหละ โบราณบอกว่าความเห็นของศัตรูจะใกล้เคียงความเป็นจริงมากกว่าความเห็นของตัวคุณเอง หรือของมิตร เอาล่ะมาต่อเรื่องนักพนัน เมื่อครึ่งปีก่อนผมเคยโพสใน tvi ว่าผมเล่น cpf 180% แล้วไม่เสี่ยงเพราะผมมีจุด cut loss แต่ถึงตอนนี้ผมขอถอนคำพูด ผมคิดว่าอะไรก็ตามถ้าเล่นมาร์จิ้นเกิน 140-150% ผมคิดว่าเข้าข่ายนักพนัน เหตุผลเพราะว่า ตลาดหุ้นไทยผ่านเหตุการณ์หุ้นตกรุนแรงเพียงชั่วข้ามคืนมานักต่อนัก อาทิ black monday 9-11 30% เวลาเกิดเหตุกาณ์บ้าๆบอๆจะทำให้หุ้นตกหนักมาตอนเปิดเพราะมีคนกลัวและบางคนมีมาร์จิ้นจำเป็นต้องทิ้งหุ้นออกมา

สมมุติว่าตอนเช้าเปิดเกือบ floor แล้วคนเริ่มได้สติแล้วตอนปิดราคาปีนขึ้นไปได้คุณก็ตายตั้งแต่ตอนเช้าแล้วฉะนั้นจริงๆแล้วการเล่นมาร์จิ้นระดับ 170-200% ไม่ว่าจะพูดสวยหรูแค่ไหนจริงๆแล้วมันคือการพนัน พนันว่าจะต้องไม่เกิดเหตุการณ์หุ้นเปิดมา floor เพราะถ้าเกิดกูตายแน่ ซื้อแล้วก็หวัง สวดมนต์ อธิฐาณ อะไรทำนองนั้น

ผมเล่น 21 ใน iphone ก็ใช้หลักการที่อ่านจากหนังสือท่านแม่ทัพ ตอนแรกๆผมเล่นมั่วมากเล่นแล้ว ship โดนบ่อนกินหมด หลังๆผมเริ่มเปลี่ยนทางปรากฏว่าเล่นแล้วได้ตังค์มาเยอะ วิธีที่ผมใช้ก็คือว่า เจ้ามือจะไม่สามารถมีแต้มต่ำกว่า 16 ได้ ถ้าผมได้ตั้งแต่ 16 ขึ้นไปผมจะสู้ แต่ถ้ามาถึง ผมได้แต้มประมาณ 13-15 ผมจะ surrender ไปเลยแล้วยอมเสียครึ่งนึงของเงินเดิมพัน เพราะเวลาได้แต้ม 13-15 ส่วนใหญ่ชนะยากมีโอกาศจั่วเพิ่มแล้วตายเยอะ แล้วถ้าไพ่ของเจ้ามือที่หงายมาเป็นแต้มที่มีค่าเท่ากับ 10 ส่วนใหญ่ผมก็จะหมอบเช่นกันถ้าแต้มผมไม่ถึงซัก 18 เพราะว่าใบที่ซ่อนอยู่ของเจ้ามือมันชอบเป็นแต้ม 10 เหมือนกัน ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะโอกาศมันเยอะเนื่องจากสำรับนึงมีตั้ง 40 ใบที่แต้ม 10 ยังไม่นับรวม a ที่เป็นได้หลายอย่าง เล่นๆไปแล้วรู้สึกได้เลยว่า การยอมแพ้เมื่อโอกาศชนะมีน้อย  เป็นปัจจัยอย่างนึงที่ทำให้อยู่รอดได้ในระยะยาว ต้องบอกก่อนว่าเป็นไม่ใช่เซียน balck jack เพียงแต่ผมรู้สึกว่าถ้ามีหลักการบางอย่างแล้วผลลัพธ์ดีขึ้นเห็นได้ชัด กลับมาที่เรื่องการเล่นหุ้นหลายครั้งเราให้ความสำคัญกับการแพ้ชนะที่เป็นส่วนนึงของภาพใหญ่มากเกินไป  แต่ผมคิดว่าเราควรมองที่ภาพรวมมากกว่า ภาพรวมก็คือเราแพ้ได้ในครั้งเล้กๆแต่ภาพใหญ่เราต้องชนะ สมมุติแต้มผมไม่fuแล้วผมยังจะดันทุรัง bet หนักๆเพราะผมไม่อยากแพ้ แค่ทัศนคติผมก็ไม่ผ่านแล้ว บางครั้งการที่เราชนะมาจากการที่เราไม่พลาดก่อนแต่คู่ต่อสู้เป็นคนพลาดเองก็ได้ เช่น หุ้นที่ดีมากๆในระยะปานกลางและยาวแต่ดันทิ้งลงมาหนักๆ โดยแค่กลัวปัจจัยภายนอกบางอย่าง แบบนี้เหมือนเราอยู่เฉยๆแล้วเจ้ามือจั่วไพ่แล้วตายไปเอง คือบางครั้งการเล่นหุ้นมันก็ต้องรอโอกาศบ้าง ไม่ต้องทำอะไรตลอดเวลา

สรุปแล้วนักพนันเป็นพวกไม่เผื่อเหลือเผื่อขาดกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เพราะได้แต่เข้าข้างตัวเองว่าในคงไม่เกิด แต่นักลงทุนคือคนที่เผื่อความเสียงครงนั้นเอาไว้ด้วย และนัพพนันจะไม่ค่อยคิดถึงความน่าจะเป็นเท่าไหร่ มีลักษณะสู้ตาย สู้ไม่ถอย ซึ่งคนกลุ่มนี้มักจะออกจากตลาดเร็วกว่าที่ควร ต่างจากพวกที่ยอมแพ้เมื่อรู้ว่าควรยอมมักอยู่ในตลาดได้ยาวนานจนกระทั่งได้เจอโอกาศตีแตกและสร้างชื่อได้ในที่สุด

ในตลาดหุ้นนั้น มุมมองของคนที่เห็นอะไรมาเยอะมักจะไม่มั่นใจอะไรจนเกินไปเพราะเชื่อว่าในตลาดหุ้นความแน่นอนไม่มี แต่มือใหม่ที่เพิ่งได้ตังค์จากหุ้นไม่กี่ตัวมักจะมั่นใจอะไรสุดๆ ของแบบนี้ต้องเจอกับตัวเมื่อก่อนผมก็ไม่ค่อยเชื่อหรอก คิดว่าบางคนขี้กลัวเกินไปด้วยซ้ำ แต่เดี่ยวนี้รู้สึกว่าอยู่ในตลาดนานแล้วป๊อดกว่าเมื่อก่อน

Comments (14)

Update มุมมองหลังจากไม่เขียนมานาน

อยู่ในตลาดหุ้นนานๆแล้วรู้สึกว่าตลาดจะชอบให้เราเคยชินกับภาวะบางอย่างและก็หักดิบกันอย่างโหดร้าย อย่างเช่นถ้ามือใหม่ชอบซื้อหุ้นขาลงบ่อยๆ แล้วมันเด้งเขาก็จะคิดว่าคำตอบสุดท้ายคือการซื้อหุ้นตอนลงแรงๆ แต่การทำแบบนี้จะใช้ได้กับตลาด sideway เท่านั้น เมื่อตลาดเป็น bear market อย่างสมบูรณ์ก็จะขาดทุนหนักมาก หรือคนที่เพิ่งเจอวิกฤติมาแล้วรอดมาได้เพราะขายหุ้นไปก่อนเกือบทุกคนจะไม่กล้าซื้อตอนมันกลับขึ้นมาแล้วพอมันลงก็รีบขายแต่ตลาดดันกลายเป็น sideway ทำให้ตอนขายมักจะขายตอนที่หุ้นปรับตัวจบแล้วพอดี แล้วพอเจอแบบนี้บ่อยๆก็อาจจะเปลี่ยนมาเป็นพวกซื้อสวนตลาด แต่พอเริ่มทำแบบนี้ตลาดก็อาจกลับไปเป็น bear market อีกครั้ง จริงๆแล้วนักลงทุนควรจะเลือกข้างที่จะเป็นแบบใดแบบนึงเพื่อไม่ให้สับสนกับชีวิต เช่นถ้าเลือกจะเป็นวีไอแบบเพียวๆ ก็อาจจะเจ็บหนักแค่ปีเดียวในรอบ 7-8 ปีเช่นปี 2008 แต่ถ้าเป็น trader อาจจะต้องเจ็บบ่อยหน่อยเวลาเห็นหุ้นลงแล้วกลัวขายแล้วมันก็ขึ้นแรง แต่เวลาตลาด crash พวกนี้จะไม่ค่อยเจ็บหนักเท่าไหร่  อย่างวิกฤติรอบนี้ดูเหมือนว่าจะจบเร็วซึ่งก็ทำให้หลายคนมองว่าถ้าเกิดวิกฤติรอบหน้าก็รีบซื้อเข้าไปเลยแต่ผลจะออกมาเป็นไงก็ไม่รู้เพราะว่า วิกฤติสมัยก่อนมันกว่าจะฟื้นตัวจริงๆก็ 4-5 ปี สรุปดูๆไปแล้วตลาดหุ้นนี้มันไม่สามารถเอาแน่นอนอะไรได้จริงๆ สิ่งที่แน่นอนในตลาดหุ้นเพียงอย่างเดียวคือ มันเอาแน่ไม่ได้ 

ผมคิดว่านี้เป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่จะอยู่คู่ตลาดหุ้นไปจนดับดิ้นกันไปข้าง มีคนถามผมว่าผมมองตลาดยังไงเดี่ยวนี้ผมก็ไม่ค่อยกล้าตอบ เพราะหลังๆผมรู้สึกว่าความสามารถทีแท้จริงของผมไม่ใช่การคาดการณ์ตลาด และผมก็เชื่อว่าคนที่อยูในตลาดมานานจะไม่กล้าคาดการณ์มาก อย่างรอบนี้ผมก็ไม่ได้ขายหุ้นจะว่าไปแล้วตอนนี้ผมเริ่มมีมุมมองเปลี่ยนไปผมว่าถ้ามันจะเกิดวิกฤติมันจะต้องเป็นไรที่แย่มากๆ แย่ซ้ำซากแล้วก็มีแต่แย่ขึ้นเรื่อยๆ อย่างปี 2008 มีคนล้มแล้วสถาบันการเงินที่ล้มมันก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆถึงขนาด lehman ล้ม ผมว่าจริงๆแล้วถ้าตลาดจะเกิดวิกฤติกันเราแค่อ่านข่าวคร่าวๆเราจะรู้ได้เองว่าปัญหามันหนักมาก และหนักขึ้นเรื่อยๆแต่ถ้าไม่ใช่มันจะแค่มีอะไรมาให้เราตื่นเต้นตกใจเป็นพักๆแล้วก็จากไปดังประโยค this too shall past ผมว่าเซียนคือคนที่แยกออกระหว่าง ปัญหาที่หนักขึ้นเรื่อยๆกับลูกตกใจประเดี่ยวประด๊าว จะว่าไปปีนี้ผมล้างพอร์ตไปแค่ครั้งเดียวตอนเดือนมกราคม

และผมเริ่มรู้สึกว่าการล้างพอร์ตมันต้องเป็นไม้ตายสุดท้ายจริงๆ เพราะการไม่มีหุ้นในพอร์ตเลยก็เป็นเรื่องที่เสี่ยงสูง ตอนหุ้นอยู่ 735 แถวนั้นเป็นช่วงที่ผมกลับมาเต็มพอร์ตอีกครั้งหลังจากลดไปเหลือ 50% หลังจากเจอวิกฤติการเมืองต่อเนื่อง ตอนนั้นถือแล้วเสียวแต่ก็คิดว่าใครๆก็ถือเงินสดกันถ้ามันยิงกันจริงก็ลงแรงแป๊ปเดียวผมก็ใช้มาร์จิ้นซื้อหุ้นไป ถ้าไม่ลงก็ช่างแม้งไม่ต้องใช้มาร์จิ้นปรากฎว่ามันก็ไม่ลงแฮะ เลยรอดตัวไป อย่างกรณีนี้จะเห็นได้ว่าวันที่การเมืองดีขึ้นหุ้นเปิดโดด 25 จุดประเด็นคือถ้าคุณไม่มีของ มันยากนะที่คุณจะทำใจมาซื้อวันนั้นแล้วพอคุณซื้อไปอีกไม่กี่วัน ยุโรปแม้งก็โลกจะแตกคุณกลัวไม่อยากตัดขาดทุนพอวันนี้เด้งคุณฏ็ขายแล้วมันก็ไปต่อ ไรแบบนี้ ฮาๆ ขอเขียนอะไรเบาๆก่อนแล้วกันใครมีอะไรจะคุยก็เขียนมาแชร์ความรู้กันได้มาก และหนักขึ้นเรื่อยๆๆถึงขนาด สจะว่าไปแล้วตอนนี้ผมเริ่มมีมุา

Comments (10)

จะกลับมาเขียนบทความเสมอแล้วครับ

หลังจากไม่เขียนอะไรเป็นชิ้นเป็นอันอยู่นานเพราะหนีไปฝึกวิชาและค้นหาตัวเองและสิ่งต่างๆ เมื่อคิดว่าความคิดเริ่มลงรูปลงรอยมากขึ้นก็ขอกลับมาเขียนบทความอีกครั้งครับ ถ้าใครเป็นมือใหม่มีคำถามอะไรก็ถามได้เลยนะครับ ตอนนี้ผมมีเวลาตอบแล้ว clear หลายๆอย่างเสร็จเรียบร้อย

Comments (4)

ขอความเห็นในการเสนอชื่อหุ้นโกรทเพื่อจัดงานมีทติ้งครับ

(หัวข้อนี้ยังไม่ได้มีการลงชื่อนะครับ)ขอให้สมาชิกเก่าที่ไปงานมีทติ้งเฉาพะที่เสวยช่วยมาแวะเสนอหุ้นหน่อยนะครับ

คิดว่าครั้งนี้จะให้มีการเสนอหุ้นมาในเบื้องต้นที่จะใช้คุยกันซักประมาณ  5 ชั่วโมง อยากให้มีซัก 8-12 ตัว ประเด็นหลักๆคือคงจะคุยกันว่าไอ้หุ้น 8-12 ตัวนี้(ที่พวกเรารู้กันว่าโตอยู่แล้ว)มันจะโตได้ต่อเนื่องแค่ไหน และภายใต้สมมุติฐานการโตนั้นๆ มีอะไรที่เป็นความเสี่ยงที่จะทำให้มันไม่โตอย่างที่คิด และคุณภาพจริงๆของบริษัทที่กำไรโตๆกันเนี้ยมันดีแค่ไหน โดยให้สมาชิกเที่ไปงานที่เสวยลองเสนอหุ้นที่คิดว่ากำไรจะโตเข้ามาหน่อย โดยเบื้องต้นอยากให้กำไรโตได้ในปีนี้ 100% หรือไม่ก็ภายในปีหน้า eps จะโตจากปีนี้(53)มากกว่า 100%

เบื่องต้นผมลองเสนอดังนี้ (ไม่ต้องไปซื้อตามนะครับเพราะไม่รู้ว่าหุ้นพวกนี้รับข่าวการโตของกำไรแล้วหรือยังและกำไรจะโตได้จริงหรือเปล่า)

vng,smt,snc,hemraj,rs     มีใครจะเสนอตัวไหนเพิ่มไหมครับหุ้นที่ผมเสนอเบื้องต้นถ้ามีตัวไหนไม่เข้าตาก็เสนอตัดออกกันได้นะครับ ในวันงานผมจะพยายามหา research ของภาวะอุตสาหกรรมและรายตัวและรวมให้ครบทุกตัวเพื่อง่ายในการอ้างอิงข้อมูลด้านตัวเลขและข้อมูลทางคุณภาพนะครับ

ถ้าเพื่อนๆที่เคยไปงานที่เสวยคนไหนว่างผมอยากเชิญชวนให้มาร่วม discuss เรื่องนี้กันนะครับ ส่วนวันคือวันที่ 30 เดือนพฤษภาคแต่สถานที่และเวลาขอแจ้งให้ทราบอีกครั้งในเร็วๆนี้นะครับ

ผมเองหมายตามือดีบางท่านเพิ่มแล้วจะลองส่งเทียบเชิญไปเผื่อว่าจะมีเซียน discuss หุ้น growth รอบนี้เพื่มครับเบื้องต้นถ้าได้ชื่อหุ้นครบแล้วผมจะพยายามไปหาข้อมูลหุ้นที่ผมพอหาได้มาให้ครบดังนั้นถ้าให้ดีช่วยกันเสนอให้จบภายในไม่กี่วันนี้ได้ก็จะดีนะครับ

โดยจะมีบรรยายพิเศษเรื่องเทคนิคคอลของพี่พอใจผู้ซึ่งไปเจาะลึกเว็บพันทิพย์มา จะบรรยายประมาณ 30-45 นาที

ต้องขอขอบคุณพี่ป้อมที่ตอบรับคำชวนของผม

Comments (26)

อย่าให้คนรู้หน้าตักตัวเอง,อย่ามั่นใจ,สุดท้ายก็พื้นฐาน

ผมอ่านในเว็บบางเว็บบางคนมีคนออกมาโพสว่าตัวเองเล่นมาร์จิ้นหุ้นตัวนี้เท่าไหร่ หรือว่าตัวนี้มาร์จิ้นเต็มแล้วทุกโบรกเช่นหุ้น k จะหามาร์จิ้นเพิ่มได้ที่ไหนดี การที่มาโพสแบบนี้ดูไปแล้วคงไม่ส่งผลดีต่อผู้โพสถ้าคนผู้นั้นถือหุ้นอยู่เพราะหมายถึงหุ้นตัวนั้น overown เพราะไม่ได้มีแค่เงินสดไปซื้อหุ้นแต่อยากได้กันถึงขนาดต้องไปกู้มาซื้อ ประเด็นก็คือถ้าตลาดดีก็ดีไปแต่ถ้าตลาดแย่ๆอย่างเช่นช่วงนี้คนจะเริ่มคิดว่าถ้าหุ้นลงไปเรื่อยๆจะต้องมีคนถูก forcesell ดังงนั้นหุ้นของคนที่มาออกตัวยว่ามาร์จิ้นเต็มกันเนี้ยแหละจะโดนทิ้งหนักสุดเพราะว่ามันมีคนไปถือมาร์จิ้นกันไว้เยอะต่อให้คนพวกนี้เป็นวีไอแต่ถ้ามีคนอื่นขายมาถึงจุดนึงก็ต้องมีคนโดนบังคับขายและในตอนนั้นหุ้นจะลงแบบ free fall ทันที ลองมาสมมุติกันถ้าผมเป็นเจ้าหุ้นแล้วรู้ว่ามีคนอมมาร์จ้นไว้เยอะ ผมจะทุบให้ตายจะทุบให้มันต้องมีคนโดนบังคับขายภูกๆมาให้ผมแล้วผมค่อยลาก นี้เป็นโลกของทุนนิยมคนเราเข้าตลาดหุ้นเพื่อหาเงินไม่ได้เข้ามาเพื่อทำบุญ เราทกุคนรู้ว่านี้คือ zero sumgame ดังนั้นการเปิดเผยหน้าตักของตัวเองให้คนรู้เป็นสิ่งที่มีแต่เสียกับเสียจริงๆแล้วการเล่นหุ้นบางครั้งบมันก็ไม่ใช่แค่เรื่องพื้นฐานแต่มันเป็นการสงครามเป็นการหักเหลี่ยมกันด้วยในบางมุม หรือย่างบางกองทุนจะขายหุ้นตัวนึงที่ถือยู่ 10% ก็ต้องมา เมื่อก่อนผมเคยเล่น cpf 180% ข่าวรั่วเร็วมากว่าผมใช้มาร์จิ้นเต็มผมงงมากว่าทำไมคนถึงรู้กันเร็วขนาดนั้น และผมก็เริ่มเห็นว่าจริงๆแล้วมันไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่เลย ไว้เราขายเสร็จแล้วเราค่อยบอกก็ได้นี้นา หรือไม่ก็ไม่เห็นต้องบอกเลยว่ามาร์จิ้นเท่าไหร่โดยเฉพาะเล่นกับหุ้นที่สภาพคล่องไม่ได้เยอะมากอะไรแบบนี้เป็นต้น

จริงๆการอย่าให้คนอื่นรู้หน้าตักมีอีกหลายอย่างแต่นี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดแล้ว

เรื่องที่สอง เมื่อวานเจอพี่สุมาอี้ที่เซ็นทรัลพระราม 2 เขาพูดมาประโยคนึงว่า คนที่หมดตัวคือคนที่มั่นใจอะไรมากเกินไป คำนี้น่าคิดการที่คุณคิดว่าทุกอย่างชัวแน่นอน มั่นใจมากๆเมื่อคุณพลาดอาจถึงขั้นหมดตัวได้ คนที่ไม่มั่นใจอะไรจนเกินไปจะไม่มีวันหมดตัว นี้เป็นสัจธรรมในตลาดหุ้น พวกมือใหม่หลายคนจัดเป็นพวกบ้าพลัง ซื้อแล้วลงก็ถัวเฉลี่ยไม่จบไม่สิ้นถ้าชนะก็จะออกมาโม้ในเว็บบอร์ดว่าเห็นไหมเพราะว่าผมใจถึง แต่บางครั้งเรื่องแบบนี้ต้องดูกันยาวๆ สมัยก่อนดัชนี 1700 เนี้ยมีแต่พวกบ้าพลังแล้วสุดท้ายพอหุ้นลงมาเหลือ 200 ก็หมดตัวเกือบทุกคน  มือใหม่ที่กล้าและยังไม่เคยเจอของจริงหลายคนอาจจะคิดว่าผมหัวโบราณ แต่อย่างน้อยผมคิดว่าถ้าในอนาคตมีเหตุการณ์ประมาณว่า 1700 หรือ 200 อีกผมก็ไม่หมดตัวแน่นอนเพราะผม bet ทุกอย่างแบบมีการบริหารความเสี่ยงสุดๆ ผมเขียนแผนซื้อขายแบ่งไม้ติดตามงบ ติดตาม ananly ตลอด แต่ผมไม่บ้าพลังสู้แบบหัวชนฝาแน่นอน

เรื่องที่สาม อย่าไปเก็งเซทมากเพราะระยะยาวสุดท้ายก็พื้นฐานผมได้ว่า gfpt cpf ตอนเซท 700 ต้นๆ 6-7 เดือนก่อนราคาต่ำกว่านี้ครึ่งนึงหมายความว่าขึ้นมา 100% แล้วยังไม่นับอีกหลายตัวเช่น sta vng อะไรต่างๆด.ร.นิเวศน์เริ่มลงทุน 10 กว่าปีที่แล้วเซทก็ 800 ตอนนี้ก็ 730 แต่ท่านรวยขึ้นหลายสิบเท่าตัวแล้ว

Comments (34)

ส่วนนึงของบทสนทนากับเซียน

ช่วงที่หายไปได้ไปโพสคุยกับเซียนหุ้นคนนึงผมขอนำเนื้อหาบางส่วนที่ผมเป็นคนโพสมาแปะให้อ่านนะครับ

ผมเองเป็นมือใหม่ที่ใหม่ที่สุดถึงโคตรใหม่ที่สุด(พูดซ้ำซาก อิอิ)ในเรื่องเทรดเลยขอเล่าเรื่องการใช้พื้นฐานหุ้นแทนดีกว่านะครับ เมื่อก่อนผมชอบเล่นหุ้นที่ผมคิดว่ากำไรในอนาคตจะดี เช่นเราคิดว่า abc ปีหน้ากำไรจะโต 20% แต่ประเด็นก็คือบางทีแล้วเราก็ bet สูงไปหน่อยเพราะว่ากำไรของบริษัทอาจจะไม่โตเหมือนที่เราคิดพองบประกาศมาแย่กว่าคาดก็จะทำให้เราขาดทุน หลังๆถ้าผมจะลงทุนในตัวไหนเยอะๆผมจะชอบบริษัทที่ผมไม่ต้องคาดการณ์เยอะมาก คือประมาณว่าต่อให้คาดการณ์ผิดก็ไม่น่าจะเจ็บตัว อ้าว ถามว่ามีด้วยเหรอ คาดผิดแล้วไม่เจ็บตัว ผมว่าใช่คำว่าเจ็บตัวน้อยดีกว่าแต่คาดถูกจะได้เยอะกว่า เช่น สมมุติว่าหุ้น abc (ไม่เอ่ยชื่อแล้วกันเดี่ยวจะกลายเป็นชี้นำ) ปกติเล่นกัน pe 11-12 เท่า แต่ว่ากำไรปีที่แล้วของ abc โตเป็นประวัติการณ์ เรียกว่าสูงที่สุดตั้งแต่ abc ทำธุรกิจมาในตลาดหุ้นเลยดีกว่า แต่น่าแปลกคือราคาของ abc ตอนผมซื้อราคาหุ้นกลับยังไม่ new high ทั้งๆที่ปีนี้ abc น่าจะกำไรโตอีกอย่างน้อย 10-15% เนื่องจากการย้ายโรงงานไปอเมริกาซึ่งมีค่าใช้จ่ายน้อยลงจากโรงงานเดิมที่อยู่เกาะแห่งนึง ปีที่ผ่านมา abc กำไรสูงสุดแม้มีค่าใช้จ่ายพิเศษ ซึ่งที่ผมมองคือว่า กำไรของ abc shoot ไปก่อนราคาหุ้นและมีความเป็นไปได้สูงมากที่กำไรของ abc จะสูงขึ้นจากปีที่ผ่านมาขึ้นไปอีกแต่ราคาหุ้นยังไม่ไป(ตอนผมซื้อ) กรณีแบบนี้เหมือนกับว่าเราไม่ต้อง bet เท่าไหร่ว่าบริษัทจะโตได้แน่ไหม เพราะว่าถ้าเราเจอบริษัทที่มี time-lag ระหว่างกำไรกับราคาหุ้นเราจะปลอดภัยขึ้นเยอะ ที่นี้จุดที่จะทำให้หุ้นแบบนี้พุ่งล่ะ เพราะบางคนก็จะบอกว่าอ้าว ใครๆก็รู้ว่ากำไรดีแต่หุ้นไม่ขึ้นแสดงว่าตลาดไม่เห็นด้วยนะสิ จุดที่ผมรอก็คือว่า ผมจะรอให้นักวิเคราะห์ไปเยี่ยมบริษัทก่อน ก็คือผมมีวิธีเข้าถึง research เร็วและหลากหลายถ้าครั้งไหนหลายๆโบรกออกมาออกประมาณการพร้อมกัน หุ้นจะวิ่งง่ายอย่างตัวนี้ มี analys meeting ปลายปีที่แล้ว หลังจากนั้นไม่กี่วันหุ้นพุ่งกระจายทะลุแนวต้าน ผมก็ดูมาหลายเดือนแต่ซื้อตอนที่รู้ว่าหลายโบรกไปเจอผู้บริหารแหละครับ จริงๆแล้วหลายคนชอบมองว่าโบรกเชียร์แล้วให้ขายเพราะโบรกไม่เก่งแต่วิธีแบบนั้นจะใช้ได้ผลก็คือว่า เชียร์มานานแล้วและก็ปรับประมาณการขึ้นอยู่นั้นแหละสมมุติ fair value เดิม 50 ก็ให้ 60 แล้วหุ้นก็ขึ้น fair value ก็ขึ้นก็เป็น 100 ตอนราคา 100 ทุกโบรกพร้อมใจให้เป้า 150 อะไรแบบนี้ แต่ถ้าพวกเขาไม่เคยเชียร์มาก่อนหรือมีคนตามไม่กี่เจ้าและทุกเจ้าออกมาเชียร์พร้อมๆกันช่วงแรกๆหุ้นมักจะวิ่งนะครับ ผมเคยเห็นหุ้นลักษณะนี้เยอะมาก ก็คือว่า เราเล่นกับพื้นฐานไม่พอถ้าให้ดีเราต้องเล่นกับหุ้นที่กำไรไปก่อนราคาแต่เราก็จะยังไม่ซื้อจนกว่าจะมีโบรกมาเชียร์ อะไรแบบนี้เป็นต้น ผมลองแบบทางเลือกเป็น scenario ง่ายๆประมาณนี้

 1.good news price in

2.good news has not price in

3.bad news price in

 4.bad news has not price in

ถามว่า 4 อย่างขั้นต้นผมชอบแบบไหนมากที่สุดคำตอบคือที่สอง เพราะดูแล้วมีตัวเร่งมากที่สุดถามว่ามีด้วยเหรอข่าวดียังไม่อยู่ในราคา มันมักจะเกิดขึ้นแค่ช่วงสั้นๆเช่นไม่กี่นาทีจนถึงไม่กี่ชั่วโมงหรือ 1 วัน ผมจำได้ว่าปลายปี 2008 ตอนนั้นหุ้น property อย่าง qh ps ap ลงจากจุดสูงสุดไปถึงจุดต่ำสุดประมาณ 75-80% ซึ่งผมมองว่า undervalue มากแต่ไม่รู้จะหาจังหวะซื้ออย่างไร ตอนนั้นมีการบอกว่าจะมีการต่อมาตรการภาษีอสังหา ผมจำได้ว่าตอนที่ประกาศข่าวหุ้นยังไม่ขึ้น ถ้าผมจำไม่ผิดวันแรกหุ้นจะยังไม่ขึ้นแต่วันที่สอง ไอ้ทั้งกลุ่มนี้ขึ้น 20-27% ตัวที่ขึ้น 27% ภายในวันเดียวถ้าจำไม่ผิดจะเป็น ap ส่วน qh ps ประมาณ 20% ตอนนั้นผมก็ได้เห็นกับตาว่าตลาดมันไม่มีประสิทธิภาพนี้หว้า ประกาศแล้วกว่าจะรับข่าวจะมี lag ไปหน่อย แต่ผมคิดว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะตอนนั้น sentiment ตลาดแย่มากทำให้คนไม่แน่ใจว่าข่าวดีจะทำให้หุ้นขึ้นไหม ผมคิดว่าจากตัวอย่างข้างต้น good news price in จะเป็น scenario ที่ทำให้เราขาดทุนได้หนักที่สุด ตามปกติแล้วคนข้างในมักจะรู้ผลประกอบการณ์ก่อนนักลงทุนทั่วไปและซื้อหุ้นดักไว้ก่อนและถ้าถึงขนาดประโคมข่าวทางหนังสือพิมพ์โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์หุ้น(ไม่เอ่ยชื่อเดี่ยวโดนฟ้อง)ปกติมักจะเป็นทำไปเพื่อจะออกของ นั้นก็คือถ้าไม่ใช่หุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานดีในระยะยาวแล้วมีข่าวดีที่เปลี่ยนพื้นฐานระยะยาวได้เยอะกรณี good news price in จะทำให้เราเจ็บตัวได้เยอะ กรณี bad news price in นั้นเราจะต้องแยกให้ออกว่าเป็น one time bad news price in หรือเปล่า เช่นแต่ก่อนผมซื้อ top ตอนราคา 25 บาทเพราะว่างบปี 2008 กำไรน้นอยมาก แต่กำไรที่น้อยมากมาจาก ราคาน้ำมันที่ลดลงเยอะแล้วทำให้ โรงกลั่นต้องบันทึก stock loss แต่ประเด็นก็คือว่าเมื่อฐานราคาน้ำมันต่ำแล้วและน้ำมันลงมาเยอะแล้วการการที่ดอลล่าแข็งค่าขึ้นเยอะส่วนนึงคือคนหลบเข้า safe heaven ไปซื้อบอนในตอนนั้น bong yield ชนิด 10 ปีและ 30 ปี (ประมาณปลายปี 2008 ถึงเดือน 1-2 ปี 2009) bond yield ต่ำชนิดว่าแทบจะต่ำที่สุดในรอบ30 ปีขึ้นไป ดังนั้นผมก็ถือว่าข่าวร้ายรับไปเละแล้วและไม่ได้เป็นชนิดที่เกิดบ่อยๆ หรืออีกกรณีนึงคือ scsmg ที่มีรายการขาดทุนจากการลงทุนในหุ้นเยอะมากและทำให้ราคาหุ้นดิ่งลงไปเยอะ แต่ประเด็นคือบริษัทได้ขายหุ้นไปแล้วฉะนั้นงบงวดที่มีขาดทุนจากหุ้นจะถือเป็น one time bad news price in เพราะถ้าเราดูจากกำไรปกติไม่นับขาดทุนพิเศษ pe ของหุ้นในตอนนั้นจะค่อนข้างถูกเป็นต้น จริงๆแล้วผมจะคิดหุ้นทุกตัวออกมาเป็น case ประมาณนี้แล้วพยายามใช้การคาดการณ์ให้น้อยแต่ใช้ประโยชน์จากการที่ตลาดในช่วงนั้นไม่มีประสิทธิภาพครับ

Comments (19)

survival ให้ได้ก่อนแล้วค่อยคิดถึงรางวัล+(update fundflow)

พีสุมาอี้ เคยเล่านิทานให้ผมฟัง ผมขอนำมาขยายความเพิ่มเติม นิทานเรื่องนี้มีอยู่ว่า มีเมืองอยู่สองเมืองทำศึกกัน แล้วพระราชาของเมือง ก ก็บอกว่าในการทำศึกครั้งนี้ถ้าใครตัดหัวทหารฝ่ายตรงข้ามได้มากที่สุด คนนั้นจะได้เงินรางวัลก้อนใหญ่ แล้วก็มีทหารคนนึงชื่อว่าบู๊ล้างผลาญ ทหารคนนี้ต้องการได้รางวัลเยอะที่สุด ก็เลยถือดาบสองมือ และไม่ใส่เกาะเพราะคิดว่าการใส่เกาะจะทำให้ตัวเองวิ่งได้ช้าลงและตัดหัวข้าศึกได้น้อยลง ว่าแล้วบู๊ล้างผลาญก็เอาดาบ2มือพร้อมตัวเปล่าๆ กับความหวังว่าตัวเองจะตัดหัวข้าศึกได้มากที่สุด ปรากฏว่าตอนเริ่มต้น บู๊ล้างผลาญก็ตัดหัวได้มากมายแกว่งไกวดาบสองมือจนเลือดนองสนามรบ แต่อนิจจา สิ่งที่บู๊ล้างผลาญลืมคิดไปคือว่า ข้าศึกไม่ใช่ควาย(ควายพิมพ์ถูกแล้ว)ใครมันจะให้คนอื่นฆ่าอยู่ข้างเดียวด้วยความที่คิดถึงแด่เงินรางวัลจากพระราชาทำให้บู๊ล้างผลาญไม่ระวังตัวโดนธนูเสียบคาหัวใจตายคาสนามรบ  อนิจจา ถึงแม้จะตัดหัวข้าศึกได้มากแค่ไหนแต่ตายในสนามรบก็หาได้ประโยชน์ใดๆไหม ทหารอีกคนนึงชื่อนายรุกและรับอย่างรอบคอบ เขาลงสนามรบโดยไม่ได้สนว่าเขาจะตัดหัวได้มากที่สุดหรือไม่ แต่เขาเตรียมเกาะเตรียมโล่และมีดาบลงสนามรบ เขาตัดหัวข้าศึกได้น้อยกว่าบู๊ล้างผลาญเพราะระวังตัวตลอดเวลา เพราะเขารู้ว่าคู่ต่อสู้ไม่ใช่ควายให้ใครฆ่าง่ายๆ ข้าศึกยิงธนูใส่เขาเขาก็มีโล่ป้องกัน ทะลุมาก็ยังมีเกาะสุดท้ายพอสงครามจบ รุกและรับอย่างรอบคอบก็ได้รางวัลปลอบใจถึงแม้เขาตัดหัวข้าศึกไม่ได้มากที่สุดแต่เขาก็ตัดได้บ้างและเอาตัวรอดในสงครามได้

ชีวิตจริงเวลาเล่นหุ้นหลายคนชอบทำตัวบู๊ล้างผลาญลุยดะๆ คิดว่าทุกอย่างจะเป็นแบบที่ตัวเองคิด คิดว่าคนอื่นจะรู้น้อยกว่าเขา คิดว่าเขาฉลาดที่สุด กว่าจะรู้ตัวก็ตายอยู่ในสนามรบ ถึงแม้จะเคยทำกำไรได้เยอะแยะแต่สุดท้ายก็ตาย ก็คือเงินหมดตอนตลาดขาลงไม่มีประโยชน์เลย พี่ mudleygroup สุดยอด trader ไทย เคยบอกว่าอยู่รอดให้ได้นานพอแล้วจะรวยเอง ผมเองเห็นด้วยคือ ถ้าประคองตัวผ่านภาวะแย่ๆได้โดยเสียไพร่พลน้อยที่สุด สุดท้ายโอกาศจะมาเอง ตลาดหุ้นวัดคนทั้งขาขึ้นและขาลง คนที่รอดขาลงได้แต่ทำเงินขาขึ้นไม่ได้ก็ไม่ถือว่าเก่ง คนที่ขาขึ้นทำเงินได้ขาลงเสียกลับหมดก็ไม่ถือว่าเก่งอยู่ดี ขาขึ้นต้องได้เยอะขาลงเสียน้อยๆ หรือขาลงเสียมาก แต่ขาขึ้นได้โคตรมากๆๆ ก็ได้

หมายเหตุ บทความนี้ต้องการจะสื่อถึงการลงทุนด้วยความระมัดระวัง ไม่ได้จะสื่อว่าตลาดน่าจะลงหรือจะขึ้นทั้งนั้นนะครับ

Comments (147)

เป็นนักลงทุนอย่าเชื่ออะไรง่ายๆ

กรุณาอย่าเอ่ยชื่อบุคคลใด เพราะตัวอย่างที่จะพูดอาจเป็นเพียงสิ่งสมมุติถ้าใครพาดพิงคนอื่นออกมาเป็นชื่อ ผมจะลบความเห็นนั้นนะครับ

1.ตามเว็บบอร์ดต่างๆจะมีพวกคอยทำตัวให้เป็นเซียน โดยวิธีการสร้างภาพของเขาก็คือ หุ้นตัวไหนขึ้นจะออกมาแสดงตัวอย่างเดียว แต่ไม่เคยโพสให้ความรู้คน ไม่เคยมีหลักการอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน รอจนปลายปีก็จะเข้าไปบอกว่าตัวเองได้ผลตอบแทนสูงลิ่ว ผมออกมาพูดเรื่องนี้เพราะผมอยากจะบอกว่า ค่าของคนอยู่ที่อะไรบ้าง ความเห็นผม อยู่ที่ความสามารถและการแบ่งปัน แต่บางคนไม่แชร์ความรู้อะไรโอ้อวดว่าตัวเองได้เงินปันผลเท่านั้นเท่านี้ เงินปันผลซื้อรถได้กี่คัน ถือเป็นที่สุดของการเสียสติอย่างยิ่งยวด เพราะคนอื่นไม่ได้นับถือคุณที่คนเป็นคนมีเงิน คุณมาเงินมันก็เรื่องของคุณ เพราะมีก็ไม่ได้เอามาแบ่งผมซักหน่อย แล้วเงินน่ะมีจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ หรือว่าสร้างภาพไปวันๆ มือใหม่ระวังคนประเภทนี้ให้ดี เพราะเขาจะไม่แชร์ความรู้หลักการข้อมูลอะไรทั้งนั้น สิ่งที่ทำคือ อวดอ้างผลตอบแทน กับ อวดรวย เพื่อที่จะให้คนอิจฉาและสร้างสาวกไปซื้อหุ้นตาม ที่พูดไม่ได้จะกล่าวถึงใครเฉพาะเจาะจง แต่ผมอยากฝากข้อคิดถึงมือใหม่ที่จะหลงเชื่อแล้วไปให้คนแบบนั้นหาประโยชน์

2.กับดักต่อมาก็คือ คนเราชอบเอาอะไรสั้นๆมาตัดสินผู้คน บางคนทำผลตอบแทนได้ดีมากๆปีเดียว ใครๆก็พากันยกขึ้นหิ้งว่าเป็นเซียน ผมอยากจะบอกว่าในหนังสือ intellingence investor ได้กล่าวไว้ว่า ถ้าคุณขับรถด้วยความเร็ว 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแล้วถึงที่หมายเร็วกว่าคนที่ขับรถด้วยความเร็ว 100 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง ไม่ได้หมายความว่าคุณเก่งกว่า แต่คุณกำลังเสี่ยงให้ชีวิตไปตายมากกว่าเขาเพื่อจะถึงจุดมุ่งหมายให้เร็ว คนที่ได้ผลตอบแทนมากๆในปีเดียว ผมไม่เคยคิดว่าเขาเก่งเลย จนกว่าผมจะได้ฟังวิธีการลงทุนของเขาว่ามีหลักการอย่างไร ถ้าเขาบริหารความเสี่ยงได้ดีแล้วได้ผลตอบแทนมากๆ แบบนี้เก่งจริง แต่ถ้าเล่นบ้าเลือด ทุ่มหมดหน้าตักตลอดเวลาแล้วได้ผลตอบแทนเยอะๆ ผมว่ามันก็แค่ผีพนัน ถ้าใครไปยึดผีพนันเป็นแบบอย่างแล้วไปเอาอย่างก็คงจะฉิบหายตามอย่างง่ายดายเท่าที่ผมรู้มาคนที่ได้ผลตอบแทนมากๆโดยไม่ได้เสี่ยงมาก คือ พี่โจ ลูกอีสานแห่งเว็บไทยวิไอ

3.ภาพลักษณ์ที่คนชอบเชื่ออะไรง่ายๆต่อมาก็คือ การที่ใครๆพากันยกย่องว่าคนๆนึงเป็นเซียนในหุ้นแบบนึง อย่างเช่น คุณ xx เป็นเซียนในหุ้น yy โดยที่คุณ xx แทบไม่เคยประสบความสำเร็จจากหุ้นกลุ่ม yy เลยด้วยซ้ำ แค่ไปซื้อปีที่ดัชนีเป็นขาขึ้นแล้วหุ้นส่วนใหญ่ก็ขึ้นอยู่แล้ว ใครๆก็พากันบอกว่าคุณ xx คือเซียนหุ้นกลุ่ม yy แต่ผมกลับไม่คิดแบบนั้น การจะวัดว่าใครเป็นเซียนหุ้นกลุ่มไหนได้แต่ดูย้อนหลัง และต้องดูเทียบด้วยว่าดัชนีขึ้นมาเยอะไหม ถึงจะพอวัดได้อย่างแท้จริง

4.บางครั้ง (ขอเน้นว่าบางครั้ง)หลักการก็อยู่เหนือถูกหรือผิด ถ้าคนๆนึงวิเคราะห์หุ้นถูกแต่มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกี่ยวกับตลาดทำให้หุ้นลงแรง คนก็คิดว่าคนนี้ไม่เก่งแต่อีกคนนึง ไม่ได้เก่งเพียงแต่ซื้อหุ้นบางตัวแล้วฟลุ๊กตลาดพาไปหุ้นขึ้นมาเยอะ ทำให้เขาก็ดูดีได้ เรื่องนี้ทำไมผมถึงพูด เพราะว่าหลายคนเวลาอ่านเว็บบอร์ดหรืออ่านข้อมูลอะไรก็ตามมักจะดูว่าคนเป็นคนให้ความเห็น ซึ่งบางทีท่านอาจจะมีมุมมองต่อคนที่ฟลุ๊กถูกว่าเก่งจริง แล้วมีมุมมองต่อคนที่เหตุผลถูกแต่สภาพแวดล้อมไม่ดีว่าเขาไม่เก่ง ทำให้มีความลำเอียงในการรับข้อมูลข่าวสารและส่งผลเสียต่อการประมวลผล

ทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างที่ผมอยากฝากไว้เผื่อจะมีประโยชน์ในการมองนักลงทุนคนอื่นๆ ครับ

Comments (152)

ค้นหาไม้ตาย

ถ้าเราดูการ์ตูนต่อสู้ของญี่ปุ่นทุกเรื่องเพระเอกจะต้องมีไม้ตายที่เอาไว้พิชิตคู่ต่อสู้ อย่างก้าวแรกสู่สังเวียนเพระเอกก็มีเด็มซี่โรล และยิ่งต่อสู้ก็ยิ่งต้องหาไม้ตายเพิ่มขึ้น ผมมาลองคิดๆดูแล้วนักลงทุนเองก็ไม่ต่างจากมาคุโนอุจิ อิปโปที่ถ้าอยากคว้าชัยชนะการค้นหาไม้ตายคงเป็นสิ่งจำเป็น บางคนบอกว่าใช้วิธีเหาฉลามก็ได้นี้ (พี่พอใจ)นั้นก็เป็นไม้ตายอย่างนึงเหมือนกัน

จริงๆแล้ว ท่าไม้ตายมักจะไม่ใช่ของที่ได้มาง่ายๆ การได้มาซึ่งท่าไม้ตายมักจะต้องมีพื้นฐานที่ดีก่อนเสมอ เหมือนนักชกที่จะมีหมัดไม้ตายก็ต้องมีการฝึกซ่อมพื้นฐานมาอย่างดีก่อน ท่าไม้ตายควรจะเป็นสิ่งที่ทำให้นักลงทุนสามารถพลิก สถานการณ์ได้ คนเราจะมีท่าไม้ตายหลายท่าหรือท่าเดียวก็สุดแล้วแต่ขอให้ใช้ได้ผลเป็นพอ มาคิดดูนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จรุ่นก่อนๆ จะมีจุดเด่น หรือจุดขายบางอย่างที่ทำให้เขามีท่าไม้ตาย ด้านล่างมีหัวข้อ ชื่อย่อของแต่ละคน โดยนำจุดแข็งของแต่ละคนมาพูด จะเห็นได้ว่าแค่พูดตัวย่อ 1 ตัวอักษรกับจุดขายของคนนั้น คนก็จะนึกออกแล้วว่าเขาคือใคร

ผมเองมีพื้นฐานทางการเงินมาก่อนจากการเป็น vi และหลังจากที่ได้ศึกษาเรื่อง ฟันโฟลเป็นอาวุธอย่างนึงที่ช่วยปกป้องเงินต้นได้พอควร และทำให้เล่นรอบหุ้นตัวใหญ่ได้ง่ายขึ้นเพราะหุ้นตัวใหญ่ๆจำเป็นต้องดูโฟลเป็นพอสมควร จริงๆแล้วชอบมีคนถามผมว่าทำไมบางครั้งผมไม่ได้เล่นหุ้นฟันโฟล จริงๆแล้วก็เพราะว่าฟันโฟลเป็นอาวุธอย่างนึงของผม แต่ฟันโฟลไม่ใช่ทั้งหมดของการลงทุนที่ผมใช้ ผมคิดว่าฟันโฟลเป็นอาวุธที่เสริมมากกว่าเป็นวิชาหลักของการลงทุน ผมคิดว่ามันช่วยได้ในเรื่องการปกป้องเงินต้นและดูภาพใหญ่ของภาวะเศรษฐกิจและเม็ดเงิน ตอนที่ผมศึกษาศาสตร์นี้ผมก็ต้องนั่งขุดค้นข้อมูลเก่าๆมากมาย จนผมได้ข้อมูลดิบมากพอระดับนึง ก็เริ่มมาลองใช้จริงก็คิดว่าได้ผลระดับนึง แต่หลังจากไคร่ครวญแล้วผมว่าฟันโฟลดูเหมือนเป็นศาสตร์อะไรที่ตั้งรับได้ดี ในมุมมองผม คือ น่าจะช่วยปกป้องเงินต้นได้มากกว่าสร้างผลตอบแทนอย่างดุดัน

ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่ผมจะสร้างอาวุธใหม่ อาวุธที่เน้นในเชิงรุกมากขึ้นผลตอบแทนของผม ถ้าเทียบกับเซียนๆแล้วนับว่า range ของผมแคบ คือสมมุติว่าเซียนอยู่ที่ติดลบ 50 จนถึง + 300 ของผมคือติดลบ 15 จนถึงบวก 100 เศษนั้นทำให้ผมคิดว่าสิ่งที่ขาดไปคือ ผมอยากให้ range ด้านบวกผมสูงขึ้นกว่าเดิม ผมมีวิธีการบางอย่างที่ผมมั่นใจว่าปกป้องเงินต้นได้มากพอแล้ว ผมมีอาวุธเชิงรับแล้วแต่ผมยังไม่มีอาวุธเชิงรุกเลย และแล้วตอนนี้ผมก็เห็นแล้วว่าไม้ตายใหม่ที่ควรผมฝึกคืออะไร (อย่าถามผมเพราะว่า ถ้ายังฝึกก็เรียกเป็นท่าไม้ตายไม่ได้) แต่อาวุธแบบใหม่ที่ผมจะฝึกไม่ใช่ 1 อย่าง แต่เป็น 3 อย่างที่ผมจะฝึกมันพร้อมกันๆ เป็นอาวุธที่ได้ไอเดียมาจาก 3 คน ไม่คิดว่าจะทำได้ดีเหมือนต้นแบบหรอก แล้วก็ไม่คิดว่าจะทำได้ทุกอย่างแต่คิดว่าถ้าพอไปไหว ก็น่าจะได้อาวุธเชิงรุกที่แข็งแกร่งขึ้นมาประดับตัวผมแบบใหม่ 

ผมเองสนับสนุนให้นักลงทุนลองสำรวจตัวเองว่ามีพื้นฐานแน่นพอหรือยัง ถ้าแน่นพอแล้วเรามีไม้ตายหรือยัง ถ้ามีแล้วมันใช้ได้ผลไหม ถ้าไม่ได้ผลจะสร้างได้อย่างไร อย่างตอน คิมูระชกกับ มาชิบะ เขาก็ถามตัวเองว่าถ้าเข้าไปประชิดตัวได้แล้วจะออกหมัดอะไรล่ะเพื่อคว่ำมาชิบะ แล้วก็คิดจนได้ท่าไม้ตายใหม่มาก็คือ ดราก้อนฟิชโบล ข้อแนะนำประการต่อมาคือ ถ้าคิดว่าจะใช้ไม้ตายใหม่ให้ลองดูย้อนหลังว่าวิธีที่ว่า ถ้าเอาไปซื้อขายจริงน่าจะสร้างผลตอบแทนได้ดีจริงหริอไม่ ผมเองอาศัยว่ามีรุ่นพี่ดีๆ เวลาคิดไม้ตายใหม่ก็จะลองถามความเห็นเขาว่าคิดว่าเป็นไปได้ไหม หรือมีจุดอ่อนอะไรบ้าง เพราะผมคิดว่าเขาจะช่วยขัดเกลาในสิ่งที่ผมเป็นให้ดียิ่งๆขึ้นไป

แล้วคุณล่ะมีไม้ตายหรือยัง ? ถ้ามีรบกวนเล่าให้ผมฟังบ้างสิ เผื่อผมจะช่วย comment ให้คุณได้นะ (อิอิ หลอกถามอาวุธคนอื่น)

Comments (38)

สวัสดีปีใหม่นักลงทุนทุกคน

ปีนี้ได้ผลตอบแทนดีกว่าที่คิดเพราะได้มหามิตรและดวงดีแท้ๆเลย คิดว่าปีนี้นักลงทุนส่วนใหญ่คงจะยิ้มกันถ้วนหน้า และรู้สึกว่าได้อะไรสมกับที่ลงแรงศึกษาหาความรู้กัน ผมเองดีใจที่ได้ทำ blog นี้ขึ้นมาเพื่อพูดคุยเรื่องการลงทุนกับทุกท่าน ช่วงปลายปีผมได้เปิด course สอนเรื่องฟันโฟลให้นักลงทุนทั้งหน้าเว็บและหลังเว็บรวมกว่า 70 คน ถือเป็นความภูมิใจของผมที่ได้แชร์มุมมองการลงทุนให้เพื่อนๆพี่ๆน้องๆ และการจัดกิจกรรม meeting ส่วนตัวแล้วผมถือว่าประสบความสำเร็จในระดับนึง แต่ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีผู้ติดตามอ่านบล็อกผมทุกคนที่คอยให้กำลังใจและสนับสนุนในผลงานของผม ผมเองบางครั้งอาจจะมีล่วงเกินหลายท่านไปบ้างทั้งที่ตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ ผมขออภัยทุกท่านด้วยครับ จริงๆแล้วผมเป็นคนที่ไม่เก่ง แต่ผมโชคดีที่มีมิตรดีๆ คงไม่ได้ที่ผมจะไม่เอ่ยถึงท่านเหล่านี้

1.พี่สุมาอี้ ผมขอบคุณพี่มากสำหรับความเมตตาที่พี่มีให้ผม พี่เป็นสุดยอดนักวางกลยุทธ์ในด้านการลงทุนที่ดีที่สุดที่ชีวิตผมเคยเจอเลย

2.พี่ bremner สอนสั่งผมหลายอย่าง ความรู้ที่ได้จากพี่ประมาณค่าไม่ได้ ผมเองซาบซึ่งในน้ำใจและรู้สึกนับถือพี่เป็นครูบาอาจารย์และพี่ที่ดีของผมเสมอครับ

3.พี่โจลูกอีสาน ถึงจะเคยเจอตัวจริงกันแค่ครั้งเดียวแต่พี่เป็นคนดีจริงๆ พี่ไม่คิดถึงผลประโยชน์ของตัวเองแต่พร้อมจะเสียสละเพื่อนักลงทุนทุกๆคน

4.พี่ ih ให้คำแนะนำเรื่องการลงทุนให้ผมเสมอ สอนผมเรื่องการใช้ชีวิตการวางตัว สุดยอดเซียนผู้น่านับถือ

5.อาจารย์ mprandy ที่คอยให้คำแนะนำทางด้านการเศรษฐศาสตร์มหภาคผมเสมอ ตอบเมล์ผมคนเดียวตอบซะยาว แถมรับคำชวนผมเปิดสอนเรื่องเศรษฐศาสตร์ให้นักลงทุน ขอบคุณจากใจ

6.หมอเค  ขอบคุณที่พาผมไปเจอกับคนเก่งๆและมีอะไรดีๆก็นึกถึงผมตลอดถ้าไม่ได้หมอเค ผมคงไม่รู้จักคนมากมายขนาดนี้ ขอบคุณหลายๆ

7.พี่วิบูลย์ เซียนหุ้นตัวจริง ขอบคุณสำหรับความรู้เรื่องหุ้นพลังงาน โรงกลั่น ปิโตร และดีใจที่ได้คุยกับพี่ในกระทู้ตระแกรงล่อนหุ้นยาวนานเกือบ 50 หน้า

8.ขอบคุณพี่เล็ก ck สำหรับคำแนะนำเรื่องการลงทุนที่เคยมอบให้ผมในเว็บ มวยวัดถึงผมจะไม่ค่อยได้เจอพี่แต่ก็นับถือและเคารพในตัวพี่เสมอ

9.ขอบคุณผึ้ง ที่ส่ง research ให้ผมมหาศาลนับไม่ถ้วนดูแล้วเกือบ 7000 เมล์ได้เลย ข้อมูลหลายอย่างถ้าผึ้งไม่หาให้ผมก็เหมือนคนพิการที่ไม่สามารถหาได้ด้วยตัวเอง

10.ขอบคุณพี่แจ็ค  ที่สั่งสอนผมเรื่องกราฟ case study หุ้นกว่า 50 ตัวที่ได้จากพี่ทำให้ผมได้รู้สุดยอดเคล็ดลับการดูกราฟ

11.ขอบคุณพี่กุหลาบงามหลังฝน พี่ฝน พี่หมี พี่ nortuss ที่ต้อนรับผมที่หาดใหญ่ถึงขนาดขับรถรับส่งที่สนามบินให้และจองห้องพักแถมยังเลี้ยงข้าวผม ดีกับผมขนาดนี้ผมไม่รู้จะตอบแทนอย่างไร ขอบคุณที่ให้ความเอ็นดูผม ถ้ามากรุงเทพบอกผมได้เลย ผมจะดูแลให้อย่างดี ชาวหาดใหญ่ใจดีกับผมมาก ผมขอบคุณมาก

12.ขอบคุณพี่พอใจที่แนะนำสิ่งดีๆให้ผมหลายอย่างและสอนเคล็บลับเซียนหุ้นให้ผมฟัง ไม่น่าแปลกใจที่ใครๆรักพี่เพราะว่าพี่เป็นพี่ที่ดีของน้องๆทุกคนและจะเป็นอย่างนั้นตลอดไป

และขอบคุณผู้อ่านบล็อกผมทุกคน ถ้าไม่มีคนอ่าน คนเขียนอย่างผมก็ไม่มีแรงบันดาลใจในการสร้างผลงาน ขอบคุณที่ติดตามผลงานของผม ขอให้ปีหน้าเป็นปีที่ดีของทุกท่านครับ

ฮง หน้าเด็ก(โคตรๆ)

Comments (22)

ตัวย่อชื่อสุดยอดเซียนที่(ส่วนใหญ่)เคยรู้จัก(ขำขัน)

ลองทายกันดูสนุกๆก็ได้นะ ใครทายถูกครบหมด ให้ขอเอกสารหรือไฟล์เสียงอะไรก็ได้(ที่ผมมีนะ) ถ้าจะเอาของรางวัลต้องถูกหมดในครั้งเดียวนะ

1.ส– สุดยอดนักวางกลยุทธ์การเล่นหุ้นแห่งโกรท                                                                         

2.ล–สุดยอดปีเตอร์ลินเมืองไทย

3.i–ผู้รอบรู้หุ้นทั่วราชอาณาจักร

4.น–ผู้ก่อกำเนิด vi เมืองไทย

5.v–เจ้าของฉายาแก๊สหลุมละพัน

6.b–สุดยอดนักเล่นหุ้นคอมโม

7.ว–สุดยอดfundflow ในใต้หลา

8.ว2–ผู้เปิดเผยความลับของฟ้า วอลุ่ม

9.b2–คนมหัศจรรย์เรือ 10 เด้ง

10.p–พี่ที่ดีของน้องๆใน tvi

11.r–เจ้าพ่อสถิติ

12.p–ผู้สร้างชื่อจาก svi

13.ป–เทพแห่งกราฟแท่งเทียน

14.j–เจ้าพ่อคอมโมปีที่แล้วหน้าแหก

15.c–เจ้าพ่องบการเงินแห่ง tvi

16m–ผู้รอบรู้เศรษฐศาสตร์ต่างประเทศ

17.c2–สุดยอดหมอหนุ่มจอมฟิตจัดกิจกรรม

18.m2–สุดยอด trader ฝีมือระดับประเทศ

19.h–คนหน้าเด็ก

20.b3–superอภิมหาสุดยอดมหาขี้โม้ แห่งศตวรรษเทพนาธาน(อย่าพูดชื่อนะคนนี้รู้กันว่าใคร ไม่ต้องตอบคนนี้ก็ได้) ขำๆปิดท้าย ถ้าพูดชื่อเดี่ยวกลายเป็นผมไประบุว่าเขาขี้โม้ อิอิ

Comments (15)

สินค้าในร้าน 7-11

เคยมีหุ้น cpall แล้วก็ไม่มีเป็นชาติแล้ว และก็คงจะไม่ได้ซื้ออีก แต่ช่วงหลังๆเข้า 7-11 บ่อยวันนี้ไม่ได้จะมาพูดตัวหุ้นแต่อยากชวนคุยเกี่ยวกับสินค้าในร้าน cpall   ผมไม่ได้ตามว่าที่หุ้น 7-11 ขึ้นมาทุกวันนี้เพราะอะไร แต่ผมลองเข้าไปซื้อสินค้าในร้านเขาแล้วก็ มีความเห็นในฐานะผู้บริโภคดังนี้

 1.ผมชอบกินแซนวิชที่อบชิ้นละ 22 บาท รสที่ชอบกินก็คือ หมูหยองน้ำสลัด ผมคิดว่าสินค้าชิ้นนี้ก็มีจุดขายเหมือนกันในแง่ที่ว่า สมมุติผมจะไปกินแซนวิชในห้าง สมมุติว่าผมเข้าไปที่ร้าน s&P แซนวิชชุดนึงก็เกือบร้อยผมมาซื้อใน 7-11 ไม่ดีกว่าเหรอ 2 ชิ้นก็ 44 บาทเอง แต่ในมุมกลับกันถ้าซื้อมาทำเองต้นทุนคงไม่เกิน 10 บาทต่อชิ้น แต่ประเด็นคือผมไม่ได้มีเวลาว่างขนาดนั้น

2.เกี๋ยวซ่าของ oishi ในร้าน 7-11 ก็เป็นสินค้าที่ผมกินบ่อย ถ้าผมจำไม่ผิดราคาน่าจะ 29 บาท มีประมาณ 5 ชิ้นผมว่าก็เป็นสินค้าที่ใช้ได้เหมือนกัน อร่อยดีผมชอบน้ำจิ้มของเขา

3.แฮมเบอร์เกอร์สเต็กไก่ เนื้อไก่ละเหมือนๆ chester grill กินแล้วชอบเนื้อไก่แต่ขนมปังรู้สึกเกรดมันต่ำๆยังไงไม่รู้

4.หมูสะเต๊ะ อันนี้เพิ่งลองกินเนื้อหมูก็นุ่มดี แต่ผมไม่แน่ใจว่าจะมีคนซื้อเยอะไหมเพราะว่า ตามร้านอาหารน่าจะขาย หมูสะเต๊ะ ไม้ละไม่เกิน 3 บาท (มั้ง)แต่อันนี้มี 6 ชิ้น ชิ้นนึงก็กินไม่ค่อยจุใจราคาจำไม่ได้น่าจะ 25 บาทมั้งถ้าผมเป็นหน่ม สาว โรงงาน ผมว่าซื้อแล้วไม่คุ้มนะ

5.ข้าวเหนียว หมูปิ๊ง กับข้าวเหนียวไก่ทอด ผมชอบตรงที่ข้าวเหนียวนุ่มมาก ไม่รู้ทำยังไงให้นุ่มขนาดนี้แต่ประเด็นก็คือว่า เนื้อหมูและไก่น้อยเมื่อเทียบกับปริมาณข้าวเหนียว ทำให้กินแล้วมักจะเหลือข้าวเหนียว ผมว่าซื้อเก็บไว้ที่บ้านก็โอเคเผื่อบางทีหิวๆก็กินได้ แต่ถ้าเป็นคนโรงงาน กินแบบนี้ไม่อิ่มหรอก ราคา 20 กว่าบาทได้มั้ง ถ้าผมรายได้ต่ำผมก็ไปกินข้าวแกงแทนนะ  อิ่มทองเหมือนกัน

6.เกี๊ยวกุ้งของ cpf ที่ขายใน 7-11 ผมว่าอร่อย แต่ผมว่าก็แพงอีกนั้นแหละ เพราะว่าจ่ายไปประมาณ 45-55แต่มีเกี๊ยวกี่ตัวนะ 5 ชิ้นปะ ไม่แน่ใจ แต่คุ้นๆว่าบะมี่เกี๊ยวกุ้งประมาณ 50 กว่าบาทมีเกี๊ยวแค่ 3 ตัวเองอะผมว่าแพงไปนะ แต่ว่ากุ้งตัวใหญ่ดีผมชอบ

 สรุปว่าผมก็ไม่รู้ว่าสินค้าพวกนี้ประสบความสำเร็จแค่ไหนแต่คิดว่าหลายตัว margin สูงมาก

ไม่แน่ใจว่าเป็นเหตุให้ 7-11 กำไรดีหรือเปล่า แต่ผมก็ยังงงว่า คนที่ซื้อของพวกนี้คงเป็นชนชั้นกลางขึ้นไปหรือเปล่า พวกไฮโซติดหรูก็คงไม่กินอีกนั้นแหละ คนจนก็บอกไม่คุ้มกินข้าวแกงดีกว่า ไม่รู้ใครมีความเห็นว่าไงบ้าง

Comments (21)

research

หลายคนอาจจะชอบดูถูก บทวิจัยของโบรกเกอร์ ผมคิดว่าที่เป็นแบบนั้นก็เพราะมีบทวิเคราะห์จำนวนมากที่เขียนอะไรค่อนข้างห่างความเป็นจริง หรือประมาณการกำไรไม่ค่อยใกล้เคียงความเป็นจริงแต่จริงแล้วบทวิเคราะห์ก็มีข้อดีมากกว่าที่หลายคนคิด

ผมลองจำแนกดังนี้

ข้อเสียก่อน

1.คนเขียนบทวิเคราะห์ไม่ได้เล่นหุ้นด้วยเงินตัวเองก็ไม่ค่อยมีแรงจูงใจในการหาข้อมูลให้เต็มที่ประมาณว่าการเดิมพันไม่ได้สูงเท่านักลงทุนที่เอาเงินของตัวเองเป็นเดิมพันฉะนั้น งานที่ออกมาก็เป็นงานที่มีแรงจูงใจต่ำกว่านักลงทุน

2.คนเขียนบทวิเคราะห์ที่ไปพบกันผู้บริหารอาจจะมีลูกเกรงใจที่จะเขียนให้ sell หุ้นตัวนั้น ทำให้บทวิเคราะห์ส่วนใหญ่อย่างแย่ก็เขียนว่า hold และคำยอดฮิตอีกคำคือ ซื้อเมื่ออ่อนตัว หรือ buy on weakness แต่เวลาบอกให้ซื้อเมื่ออ่อนตัวไม่ยักกะบอกแนวรับแนวต้านหรือจุด stop ให้ฟังด้วย เกิดจุดที่บอกให้ซื้อเมื่ออ่อนตัวหลุดเส้น trend line ใครซื้อตรงนั้นแป๊ปเดียวก็ฉิบหายแล้ว

3.บทวิเคราะห์ชอบเป็นลักษณะค่อยๆปรับเป้าราคาขึ้นจะสังเกตได้ว่าน้อยมากที่มี research ที่ไหนให้ราคาเป้าหมายสูงกว่าราคาในตลาดมากกว่า 50% ส่วนใหญ่มักจะอยู่ใน range ระหว่าง 20-30% (เคยเจอบางที่ให้ราคาเป้าหมายสูงกว่าราคาในตลาดแต่บอกให้ขายก็มี ตลกจริงๆไม่รู้คิดได้อย่างไร) ไม่เหมือนโบกรต่างประเทศที่เวลาให้ราคาเป้าหมายกล้าให้สูงกว่าราคาตลาดเป็นเท่าๆ

4.นักวิเคราะห์มักจะมองอะไรสั้นเกินไปเช่น 3-6 เดือน น้อยคนที่จะมองนานกว่านั้นคนที่มองระดับหลายปีไม่ต้องพูดถึง

แต่บทวิเคราะห์ก็มีข้อดีเยอะเหมือนกันดังต่อไปนี้

1.นักวิเคราะห์มักจะติดตามหุ้นตัวนั้นๆมานานทำให้เข้าใจ story ได้เยอะถ้าเราได้คุยกับนักวิเคราะห์บางทีจะมีมุมมองที่เกี่ยวกับราคาหุ้นที่ละเอียดเพราะเขา follow มาตลอด

2.นักวิเคราะห์บางทีรู้อะไรดีๆก่อนนักลงทุนอย่างเวลามี analyst meeting หรืออะไรก็ตามที่นักวิเคราะห์ได้เข้าหาผู้บริหาร เขาอาจจะได้ฟังบางเรื่องที่เป็นประโยชน์หรือโทษของหุ้นตัวนั้นเร็วกว่านักลงทุนทั่วไปที่เข้าไม่ถึงผู้บริหาร

3.นักวิเคราะห์หุ้นบางกลุ่มอย่างเช่น commodity มักจะเป็นสมาชิกบริการที่ต้องเสียเงินแพงๆ อย่างเช่น

Bloomberg หรืออะไรต่างๆ ทำให้ได้เปรียบรายย่อยการเข้าถึงราคาสินค้า แต่หลังๆผมว่าถ้านักลงทุนขุดเก่งจริงๆอาจจะได้ข้อมูลไม่แพ้คนที่มีโปรแกรม Bloomberg แบบเสียค่าสมาชิกเลย แต่ผมยังไม่ขุดเก่งขนาดนั้น

หลังๆผมสนใจหุ้นกลุ่ม food&argi ซึ่งหลายตัวก็มีความเป็น commodity บางตัวในแง่ต้นทุน บางตัวในแง่ราคาขาย ซึ่งนอกจากการติดตามข่าวสารแล้วยังต้องอ่าน research ต่างประเทศเกี่ยวกับมุมมองด้าน demand supply ของ  soft commo hard commo หลายอย่างซึ่ง

ข้อมูลพวกนี้จำเป็นมากและไม่สามารถหาอ่านได้จากข่าวทั่วไป  ก่อนหน้านี้ 1 เดือนผมแถบไม่มีความรู้เลยเกี่ยวกับราคาสินค้าชนิดต่างๆ แต่ผมก็อาศัย research พวกนี้ในการทำความเข้าใจ และก็ไปหาหนังสือเกี่ยวกับราคาสินค้า commodity ต่างๆมาอ่านเพิ่มเติม ตอนนี้จากไม่รู้เรื่องเลยก็เริ่มเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาบ้าง

Comments (26)

ข้อแนะนำสำหรับมือใหม่

ผมว่ามือใหม่นี้มีโอกาศจะเผชิญกับสิ่งที่ทำให้ตัวเองประสบผลเสียหลายอย่างทางการลงทุน ผมจะลองยกตัวอย่างให้ฟังดังนี้

1.เวลามีคนมาบอกท่านว่าหลักการใดๆไม่ดีเพราะอะไรขอให้ฟังแล้วอย่าเพิ่งเชื่อ อย่างเช่นเคยมีคนบอกผมว่าการดูกราฟใช้กับตลาดหุ้นไม่ได้ ซึ่งผมก็เชื่อเป็นตุเป็นตะเลย แล้วผมก็เริ่มปิดใจกับกราฟ จนกระทั่งไปหลายปีจนกระทั่งผมหันมาสนใจเรื่องกราฟอีกครั้งก็คือประมาณต้นปี 2009 แล้วก็ศึกษาแบบงูๆปลาๆมาซักพักผมกล้าพูดเต็มปากเลยว่าจากประสบการณ์ของผม กราฟช่วยให้ผมได้ผลตอบแทนดีขึ้นเวลาผมซื้อและขายหุ้นและกราฟช่วยทำให้ผมวิเคราะห์คู่กับฟันโฟลแล้วเข้าใจง่ายขึ้น ผมไม่ได้รู้สึกเซ้งคนที่เคยบอกผมว่ากราฟใช้ไม่ได้ผล แต่ผมเซ้งตัวเองที่แล้วกูไปเชื่อทำไมว่ะ ผมคิดว่าเขาไม่ได้หวังร้ายอะไรกับผม แต่ความหมายที่ผมอยากจะสื่อก็คือว่า สิ่งที่ใช้กับคนอื่นไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่ามันจะใช้กับผมไม่ได้ ผมเห็นหลายคนที่เป็นวีไอชอบวิจารณ์แนวทางอื่นว่าไม่ดีโดยที่ไม่ได้ศึกษาว่าจริงๆแล้วศาสตร์นั้นมีแนวทางและหลักการอย่างไร ซึ่งผมมองว่าเป็นการปิดโอกาสให้ตัวเอง คนเล่นกราฟหลายคนก็ชอบว่าคนดูพื้นฐานว่าดูไปทำไมกราฟไม่สวยหุ้นก็ลง ผมฟังแล้วเบื่อหน่าย ผมเคยเจอคนที่ดูกราฟบางคนบอกว่าเขาไม่รู้ว่าการดูพื้นฐานหุ้นใช้ได้ผลไหม แต่ว่าเขาไม่คิดจะวิจารณ์เพราะเขายังไม่ได้ศึกษาและใช้มันด้วยตัวเอง ผมฟังแล้วก็คิดว่าคนลักษณะนี้เป็นคนที่สามารถพัฒนาตัวเองได้อีกเยอะ และเวลาไปไหนก็เข้าสังคมง่าย มุมมองจะไม่แคบ นี้เป็นคำแนะนำแรกที่ผมอยากฝากถึงมือใหม่

2.ผมเห็นมือใหม่หลายคนงกค่าเรียนค่าการศึกษา มีคนมาถามผมว่าอยากอ่านบัญชีเป็นทำไงดีผมก็บอกว่าให้ไปเรียน course ที่มีเปิดสอนให้หมดทุก course เขาบอกว่าไม่เรียนได้ไหม ผมก็บอกว่าได้ก็ไปเรียนรู้เอาเองแล้วกัน เขาก็บอกว่าแล้วมีที่ๆสอนดูบัญชีฟรีๆไหม ผมบอกว่าของฟรีส่วนใหญ่มักจะไม่ดีเท่าไหร่ เขาบอกว่าไม่เป็นไร ผมเลยคิดในใจ (เรื่องของมึงแล้วเว้ย)  แล้วคนนี้ก็ไม่ประสบความสำเร็จทุกวันนี้ผลตอบแทนแพ้ตลาดมาก เห็นบอกว่าจะเลิกเล่นหุ้นแล้ว ผมบอกได้เลยว่าการเล่นหุ้นให้ได้กำไรยากมากๆ ถึงโคตรมากๆที่สุด มันเหมือนคุณหน้าตาธรรมดาแล้วต้องจีบดาวมหาลัยให้ติด ซึ่งคุณจะต้องใช้ความพยายามสูงมากๆ อิทธิบาท 4 ต้องมีครบ ผมว่าบางคนอยากเล่นหุ้นได้กำไรแต่ไม่ put effort อะไรเลยก็เหมือนคนธรรมดาจะจีบดาวมหาลัย ไม่ซื้อของให้ ไม่ส่ง sms ไปคุย ไม่ไปรับไปส่ง ไม่รับฟังเวลาเขามีเรื่องไม่สบายใจ ผลลัพธ์คือ รับประทานแห้ว

3.รู้จักเข้าหาเซียน ขึ้นชื่อว่าเซียนคงไม่วิ่งมาหามือใหม่เอง ผมเองก็รู้จักเซียนหลายคนกว่าจะรู้จักได้ทำต้องพยายามเข้าหาทุกวิธีทาง เช่น รู้ว่าเซียนคนนี้ไปพูดที่ไหนก็ตามไปฟังพยายามไปบ่อยๆให้เขาจำหน้าผมได้ รู้ว่าเซียนสนิทกับใครก็พยายามถามจากคนนั้นว่าเซียนให้ความเห็นว่ายังไงบ้าง เซียนมองตลาดยังไงบ้าง ผมอยากรู้จักพี่ลูกอีสานมานานแล้ว งาน meeting ภาคใต้ครั้งที่ผ่านมาผมนั่งเครื่องบินไปเลย ผมกลับมาคืนวันเสาร์ก็เหนื่อยแล้ว วันอาทิตย์ผมมีสอนอีกผมก็สู้เพราะว่าผมอยากเจอเซียน ถ้าเราอยากรู้จักเซียนแล้วเราอยู่เฉยๆ เซียนจะมาหาเราที่บ้านชวนเรานั่งจิบชา แล้วเล่าหลักการกับหุ้นเด็ดให้เราฟังแล้วก็จากไปหรือยังไง อย่างท่าน ด.ร.นิเวศน์หลายคนอยากรู้จักท่านในเว็บ thaivi ก็มีงานจิบเบียร์อยู่กรุงเทพแต่ไม่ไปกันแบบนี้ ผมว่าถ้าแบบนี้คุณเข้าถึงคนเก่งยาก

4.เวลาอยู่ข้างนอกหัดใช้หูให้มากกว่าปาก เวลาไปเจอคนเล่นหุ้นข้างนอกคุณไม่มีทางรู้เลยว่าคนที่คุณคุยอยู่เป็นใครเขาอาจจะเก่งชนิดโคตรเซียน คุณอยากผูกขาดการพูด พูดแล้วก็หัดถามกลับ หัดฟัง คำถามที่ควรถามยกตัวอย่างเช่น คุณทำงานที่ไหน ถ้าบริษัทที่ทำงานอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ก็ถามต่อว่าแล้วเป็นไงบ้างภาวะอุตสาหกกรรมช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง มีแนวโน้มที่ดีขึ้นหรือเลวลง ถามเขาต่อว่าแล้วคิดอย่างไรกับหุ้นของบริษัทที่เขาทำงานอยู่เป็นต้น  ถ้าเขาไม่ได้ทำงานอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ก็ให้ถามว่าเล่นหุ้นมากี่ปีแล้ว ปกติเล่นกลุ่มไหน แล้วก็ถามว่าเวลาเล่นดูอย่างไรบ้าง เป็นต้น

Comments (34)

อะไรคือ fundflow

พอดีผมได้เดินทางไปสัมผัสเซียนพี่โจ ลูกอีสานที่ภาคใต้และได้คุยกับหลายคนที่มีความสนใจเรื่องฟันโฟล ผมเลยจะขอเล่าว่ามันคืออะไรและเล่าเครื่องมือคร่าวๆสั้นๆให้สำหรับเพื่อนทางใต้หลายคนที่ไม่มีโอกาสได้คุยกันนาน และพอดีพี่ฝนก็สนใจเรื่องนี้พอดีเลยขอเล่าตอบแทนสำหรับค่าน้ำมันรถและค่าติ่มซำครับ

 

ฟันโฟลเป็นศาสตร์อย่างนึงที่ base on ความเชื่อว่ามุมมองในการโยกย้ายสินทรัพย์จะส่งผลต่อราคาสินทรัพย์ การก่อเกิดสภาพคล่อง และการหายไปของสภาพคล่องก็จะส่งผลต่อราคาของสินทรัพย์ และสะท้อนมุมมองของนักลงทุนผ่านราคาสินทรัพย์  คอนเซ็บจากตัวอย่างจริงคร่าวๆในการใช้เครื่องมือ

1.อัตราดอกเบี้ย ถ้าต่ำจะทำให้ต้นทุนบริษัทถูกลงและทำให้คนมีแรงจูงใจในการฝากเงินน้อยลงโดยปกติจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้น โดยปกติพีอีของหุ้นจะผกผันกับอัตราดอกเบี้ยในแง่ของ multiple ที่สูงขึ้นและต่ำลง

2.การโยกย้ายเงินอย่างเช่นการสูงขึ้นของผลตอบแทนพันธบัตรจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นเพราะหมายถึงมีการไหลของเงินออกจากตลาดพันธบัตรและปกติตลาดพันธบัตรจะใหญ่กว่าตลาดหุ้นอยู่แล้ว

3.การชันขึ้นของเส้นผลตอบแทนพันธบัตรถ้ามาจากระยะยาวสูงขึ้นแต่ระยะสั้นไม่ค่อยสูงขึ้นจะแสดงถึงมุมมองที่ต่อภาวะเศรษฐกิจเช่น 2-10 us ในช่วงไตรมาส 2 ของปี

4.การที่ส่วนต่างของพันธบัตรเอกชนกับรัฐบาลสูงขึ้นเป็นภาวะที่คนมีมุมมองไม่ดีต่อภาวะเศรษฐกิจ เพราะคนต้องการผลตอบแทนจากเอกชนสูงขึ้น

5.การเปรียบเทียบผลตอบแทนระหว่างตลาดหุ้นกับพันธบัตรเพื่อดูว่าคนมีแรงจูงใจในการโยกย้ายเงินมาที่ตลาดใด เราสามารถดูค่าเฉลี่ยย้อนหลังได้ว่าปกติแต่ละประเทศมีแก๊บเท่าไหร่ภาวะที่น่าลงทุนคือ แก๊บสูงกว่า average เป็นต้น

 6.ถ้าดอกเบี้ย interbank สูงขึ้นแสดงว่าเกิดภาวะเงินตึงเพราะคนมองเศรษฐกิจไม่ดีทำให้ไม่กล้าปล่อยกู้ระหว่างกันโดยปกติจะเทียบกับ พันธบัตรระยะสั้น 3 เดือนรัฐบาล

7.การพิมพ์เงินช่วยให้ราคาสินทรัพย์เฟ้อขึ้นได้อย่างมาตรการ qe ในเดือนมีนา 2009 เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้หุ้นทั่วโลกขึ้นมาได้เยอะเหมือนกัน

ขอสั้นๆแต่ได้ใจความประมาณนี้ก่อนแล้วกันเนอะ จริงๆเคยพูดแล้วทั้งนั้นของพวกนี้

Comments (16)

สถิติทางการลงทุน

พอดีเพิ่งได้เอกสารสุดยอดมาชุดนึงเลยรองสรุปข้อมูลเชิงสถิติมาให้ฟัง ทั้งของเก่าและของใหม่ ก่อนอื่นขอเขียนคำเตือนก่อนว่า มันเป็นสถิติซึ่งแสดงถึงความน่าจะเป็นเฉยๆ ไม่ได้เป็นสัจธรรมแต่อย่างใด ถ้าผมเขียนกระทู้มีสาระแล้วไม่มีคน comment วันหลังผมจะเลิกเขียนแล้วนะ บอกก่อน อิอิ

1. set จะชี้นำผลกำไรของบริษัทจดทะเบียน ประมาณ 6 เดือนเช่นกำไรไตรมาส 4 ที่จะโตตลาดจะตอบสนองไปตั้งแต่ต้นไตรมาส 2 เป็นต้น

2.เวลาที่ gdp ถดถอยจะมีหุ้น 4 กลุ่มที่มีรายได้ out performe ตลาดคือ สื่อสาร ค้าปลีก อาหาร โรงพยาบาล

3.การลดดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายของ fed และลงทุนใน set ต่อจากนั้นอีก 6 เดือนจะให้ probability  ในการชนะ 83% โดยได้กำไร 5 ครั้งจาก 6 ครั้ง และครั้งที่ขาดทุนสูงสุดขาดทุนประมาณ 20% ครั้งที่กำไรสูงสุดประมาณ 60%

4.การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ fed ครั้งแรกแล้วลงทุนต่อจากนั้น 6 เดือนโอกาสแพ้และชนะจะ 50:50 %ได้เสียก็เท่ากัน ฉะนั้นคนที่คิดว่า fed ขึ้นดอกแล้วตลาดคงรับข่าวแล้วและจะเริ่มซื้อหุ้น น่ากลัวว่าโดยสถิติโอกาสชนะแค่เพียงเท่ากับโยนหัวก้อยเท่านั้นเอง

5.โดยสถิติแล้วหลังการขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรก fed ต่อจากนั้นอีก 6 เดือน sector ที่ให้ผลตอบแทนแย่ที่สุดคือ Property ต่อด้วย พลังงาน และ ธนาคาร

6.การลงทุนด้วย fundflow momentum ได้ผลตอบแทนสูงกว่า earning momentum และได้ความน่าจะเป็นสูงกว่า โดยวิธีวัดคือ ถ้ากำไรบริษัทจดทะเบียนโตติดกันมากกว่า 2 ไตรมาสและเริ่มลงทุน หลังจากนั้นจะให้ผลตอบแทนอย่างไรวิธีวัด fundflow momentum คือซื้อติดกันสองเดือนและการซื้อเดือนที่สองต้องมากกว่าเดือนแรกและลงทุนต่อจากนั้นจะเป็นอย่างไร ข้อมูลนี้น่าสนใจมาก

7.การใช้กลยุทธ์ sell in may and go away until November เฉลี่ยเป็น % ย้อนหลังแล้วไม่มีนัยยะต้องการลงทุนแต่อย่างใดชนะตลาดได้แค่ 2% ต่อปีโดยเฉลี่ยเท่านั้นเอง โดยเก็บสถิติตั้งแต่ปี 98-08

8.ถ้าใช้วิธีถือหุ้นกลุ่มแบงค์ในไตรมาส 1 และ 4 และถือพลังงานในไตรมาส 2 และ 3วิธีนี้ตั้งแต่ปี 1998-2008 สามารถชนะตลาดได้ถึง 22% ต่อปีโดยเฉลี่ยข้อมูลตรงนี้ผมเห็นแล้วค่อนข้างจะดีเวอร์ ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าคนเก็บสถิติใช้วิธีวัดจากดัชนี sector หรือว่าลงทุนเฉลี่ยรายตัว

9.ตลาดไทยส่วนใหญ่จะ discount ข่าวการเมืองเก่งมากเวลามีเรื่องจริงๆก็ไม่ลงแล้วแต่จะ discount ประเด็นสภาพคล่องห่วยมาก เรียกว่ารอเรื่องสภาพคล่องแล้วค่อยซื้อขายหุ้นหากินได้เลย

10.สถิติในรอบ 30 กว่าปี ราคาทองคำจะปรับตัวขึ้นสูงในเดือนกันยายน ,พฤศจิกายนและธันวาคม ในทางตรงกันข้าม ราคาทองคำจะปรับตัวลดลงในเดือนมีนาคม, กรกฎาคม และตุลาคม

Comments (21)

why value investing is popular?

พอดีมีคนแซวว่าไม่ update blog จะปล่อยหมัดฆ่าหมีของทากะมูระใส่หน้าผม หมัดนี้อาจทำให้ตายได้เลยต้องรีบเขียนเรื่องใหม่

ผมเขียนข้อดีของ vi และจะเขียนมุมมองใหม่ๆเพิ่มเติมด้วย

1.เพราะความเป็นเหตุเป็นผลค่อนข้างจะสูงก็คือการลงทุนในตัวธุรกิจนั้นเอง การลงทุนในแนวทางอื่นๆบางครั้งฟังดูขัดกับ common sense ของผู้ลงทุน

เพิ่มเติมมุมมองใหม่ๆ จริงๆแล้วแนวทางอื่นๆก็มีความเป็น commonsense สูงเช่นกัน ยกตัวเอย่าง กราฟ ถ้าเราบอกว่าราคาวันนี้ปิดที่จุดสูงสุดของวันและลักษณะของแท่งเทียนเป็นสีเขียวแท่งใหญ่แสดงถึงความเป็น bullish ผมว่ามันเมกเซน เพราะว่าราคาปิดสูงสุดแสดงว่ากำลังซื้อค่อนข้างแข็งแกร่ง หรือปรัชญาอย่างหุ้นเคลื่อนที่อย่างมีแนวโน้มจนกว่าจะเปลี่ยนแนวโน้มผมว่าอันนี้เมกเซ็นสุดๆ ผมคุยกับ vi big name ยังไปซื้อทองคำเลย ให้เหตุผลเรื่องกราฟด้วย ถ้าจำไม่ผิด head and shouder กลับหัว(ไม่แน่ใจเพราะไม่ได้ดูด้วยตัวเอง)

อย่างฟันโฟลก็เมกเซ็ล เช่นเงินตึงตัวทำให้เกิดการปรับพอร์ตเพิ่มสภาพคล่อง

สินทรัพย์ต่างๆก็ราคาลดลง หรือ อัดฉีดเงินเกิดสภาพคล่องสินทรัพย์ต่างๆก็มีมูลค่าสูขึ้น เป็นต้น

2.สามารถทำงานประจำไปด้วย แนวทางอื่นๆต้องเฝ้าหน้าจอแต่แนวทางนี้สามารถมีเวลาไปทำงนประจำได้

เพิ่มเติมมุมมองใหม่ๆ คนเล่นกราฟก็สามารถลงทุนโดยไม่เฝ้าหน้าจอได้

โดยการทำการบ้านตอนกลางคืนและเซทโปรแกรมให้ alert เข้ามือถือ

เช่นถ้าราคาเกิน 5 วันจะซื้อ แล้วราคาอยู่ที่ 16.30 ราคา 5 วันอยู่ 16.5 พอราคาเกิน 16.50 sms ดังเขาก็โทรหามาร์ แต่วิธีที่ง่ายกว่านั้นคือบอกมาร์ว่าเกิน 16.5

ก็ซัด แล้วถ้าเกิน 18.20 ก็อัดให้เต็ม max เลย 55 อิอิ

3.มีความสุขเพราะไม่กระวนกระวายใจกับเรื่องของราคาหุ้น

เพิ่มเติมมุมมองใหม่ๆ ผมว่าค่อนข้างจริงผมเองถ้าเล่นหุ้นด้วยกราฟหรือฟันโฟลมักจะกระวนกระวายใจต่อราคาหุ้นมากกว่าวีไอ เดี่ยวก็การเมือง เศรษฐกิจโลก นุ่นนี้นั้น(คำพูดใครเนี้ย) แต่ผมพูดจริงๆนะ ผมว่าวีไอเวาลาเจอหุ้นตกก็กลัว

วีไอก็คนนะ ไม่ใช่สิ่งของเพียงแต่วีไอไม่ค่อยขายทิ้งถ้าพื้นฐานไม่เปลี่ยนทำให้ดูแล้วเหมือนใจเย็